ขโมยของเป็นเรื่องปกติ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ออสเตรเลียคิดเช่นนั้น

ผลการสำรวจใหม่พบว่า มีความแตกต่างระหว่างรุ่นอย่างชัดเจนในมุมมองต่อการ “หาเหตุผลเข้าข้าง” พฤติกรรมขโมยของในร้าน เช่น การสแกนสินค้าผิดราคาที่เคาน์เตอร์บริการตนเอง

A single shopper is seen walking through a grocery store with a basket in hand.

รายงานฉบับใหม่ได้สำรวจทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวออสเตรเลีย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ระบุว่าการหยิบสินค้าโดยไม่จ่ายเงินเป็นเรื่องที่ “ไม่สามารถยอมรับได้เลย” ขณะที่ในกลุ่มอายุ 18–34 ปี มีเพียง 46% ที่คิดเช่นเดียวกัน Source: AAP / Lukas Coch

งานวิจัยล่าสุดเผยคนรุ่นใหม่ออสเตรเลียมีแนวโน้ม “หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง” เกี่ยวกับการขโมยของในร้านมากกว่าคนรุ่นอื่น

งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโมแนช พบว่า คนรุ่นใหม่ในออสเตรเลียมีแนวโน้มที่จะ มองว่าการลักเล็กขโมยน้อยหรือโกงราคาสินค้าเป็นเรื่องที่ “พอรับได้” มากกว่าคนรุ่นอื่น

จากการสำรวจความคิดเห็นผู้ใหญ่ชาวออสเตรเลีย 1,047 คน เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (เผยแพร่วันจันทร์ 6 ต.ค.) พบว่า มากกว่าหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถาม มองว่าการขโมยของในบางรูปแบบสามารถยอมรับได้

ตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูกยกมามีทั้ง
  • หยิบสินค้าโดยไม่จ่ายเงิน (27%)
  • เปลี่ยนป้ายราคา (30%)
  • ไม่สแกนสินค้าบางชิ้นที่เคาน์เตอร์บริการตนเอง (32%)
  • สแกนสินค้าราคาแพงเป็นสินค้าราคาถูก (36%)
แม้คนส่วนใหญ่ระหว่าง 85%–89% จะยอมรับว่า การกระทำเหล่านี้ผิดกฎหมาย แต่ผลสำรวจพบความแตกต่างชัดเจนระหว่าง คนรุ่นใหม่กับรุ่นอาวุโส ในมุมมองเรื่อง “ความชอบธรรม” ของการขโมยสินค้า
งานวิจัยยังพบความแตกต่างระหว่างรุ่นอย่างชัดเจนในทัศนคติต่อการขโมยของในร้าน

เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ระบุว่า การหยิบสินค้าโดยไม่จ่ายเงินเป็นเรื่องที่ “ไม่สามารถยอมรับได้เลย” ขณะที่ในกลุ่มวัย 18–34 ปี มีเพียง 46% ที่คิดเช่นเดียวกัน

ความเห็นที่แตกต่างกันในลักษณะเดียวกันยังพบได้ในประเด็นเรื่องการ เปลี่ยนป้ายราคา และการ เจตนาโกงระบบเคาน์เตอร์บริการตนเอง

สเตฟานี แอทโต ผู้นำการศึกษาและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและกลยุทธ์แห่งสถาบัน Australian Consumer and Retail Studies มหาวิทยาลัยโมแนช กล่าวว่า

จำนวนชาวออสเตรเลียที่มองว่าการขโมยของบางรูปแบบ “พอรับได้” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

“ผลการศึกษานี้น่ากังวล เพราะแม้คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าการกระทำเหล่านี้ผิดกฎหมาย แต่กลับมีการยอมรับพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้นในทางปฏิบัติ” เธอกล่าว
นอกจากการขโมยสินค้าโดยตรง ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังมองว่า การหลอกพนักงานร้าน ในบางสถานการณ์เป็นเรื่องที่ “ยอมรับได้” เช่น
  • บอกข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงเมื่อสินค้ายังไม่มีป้ายราคา (34%)
  • เขียนรีวิวเชิงลบเพื่อหวังค่าชดเชย (40%)
  • ไม่ทักท้วงเมื่อบิลคิดเงินผิดและเป็นประโยชน์กับตัวเอง (60%)
แม้จะมีการรายงานข่าวเกี่ยวกับเหตุละเมิดในร้านค้าถี่ขึ้น แต่ 3 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่ารู้สึก “ปลอดภัยมาก” หรือ “ปลอดภัย” เวลาซื้อของในศูนย์การค้า

ผู้ตอบส่วนใหญ่ไม่ได้พบเห็นพฤติกรรมที่น่ากังวลโดยตรง อย่างไรก็ตาม บางส่วนระบุว่าเคยเห็นเหตุการณ์ การด่าทอ (14%), ความรุนแรงทางร่างกาย (6%), และ การปล้น (5%)

จากข้อมูลยังชี้ว่า อัตราการขโมยสินค้าในรัฐวิกตอเรียเพิ่มขึ้น 27.6% ในรอบปีถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ขณะที่ทั่วประเทศมีเหยื่อจากคดีขโมยถึง 595,660 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 21 ปี
นักวิจัยเตือนว่า อาชญากรรมในภาคค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของภาคการค้า สเตฟานี แอทโต กล่าวว่า

“อาชญากรรมในร้านค้าเป็นปัญหาร่วมกันที่ต้องอาศัยความร่วมมือแบบบูรณาการ ทั้งการใช้เทคโนโลยี การสื่อสารที่เข้มแข็ง และกฎหมายที่มีความสอดคล้องกันระหว่างภาคค้าปลีก เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย และหน่วยงานรัฐบาล”

รัฐบาลในบางรัฐได้เริ่มออกมาตรการเข้มเพื่อรับมือกับปัญหานี้แล้ว โดย รัฐนิวเซาท์เวลส์ได้ผ่านกฎหมายเพิ่มโทษต่อผู้ที่ทำร้ายพนักงานร้านค้าในปี 2023

ขณะที่ รัฐบาลรัฐวิกตอเรียก็ประกาศว่าจะเดินหน้าแก้กฎหมายในลักษณะเดียวกัน ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่สภาภายในปี 2025
เจอราร์ด ดไวเออร์ เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานค้าปลีกและบริการ (Shop, Distributive and Allied Employees’ Association) ระดับชาติ กล่าวว่า

การที่ผู้บริโภคมีทัศนคติยอมรับพฤติกรรมต่อต้านสังคมมากขึ้น “ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ” ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่พุ่งสูงและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เขาระบุว่า งานวิจัยนี้เป็นเครื่องเตือนใจว่า การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะระหว่างคนต่างรุ่น (inter-generational equity) ควรเป็น ลำดับความสำคัญสูงสุดของผู้กำหนดนโยบายและผู้มีอำนาจตัดสินใจ

ดไวเออร์กล่าวว่า

“เราสังเกตเห็นว่ารัฐบาลของแต่ละรัฐทั่วประเทศได้ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหภาพแรงงาน SDA ด้วยการปรับเพิ่มทั้งโทษและประเภทความผิดที่เกี่ยวข้อง”

เขาเรียกร้องให้รัฐบาลรัฐวิกตอเรียเร่งดำเนินการตามที่ให้คำมั่นไว้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว

“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลรัฐวิกตอเรียจะต้องทำตามคำสัญญา ออกกฎหมายที่จำเป็นโดยไม่ควรล่าช้าอีกต่อไป”

 

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

Presented by Chayada Powell
Source: AAP

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand
ขโมยของเป็นเรื่องปกติ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ออสเตรเลียคิดเช่นนั้น | SBS Thai