คณะรัฐมนตรีแห่งชาติของออสเตรเลียให้คำมั่นว่าจะเสริมความเข้มงวดของกฎหมายควบคุมอาวุธปืน หลังเหตุโจมตีก่อการร้ายที่หาดบอนได
ในแถลงการณ์ภายหลังการประชุมวาระเร่งด่วน เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีซี ระบุว่าการประชุมวาระเร่งด่วนประกอบด้วยหัวข้อการปราบปรามอาวุธที่ผลิตด้วยเครื่องพิมพ์สามมิติ การจำกัดจำนวนอาวุธปืนที่บุคคลหนึ่งสามารถครอบครองได้ให้เข้มงวดขึ้น การควบคุมการนำเข้าอาวุธปืน รวมถึงอุปกรณ์ที่สามารถบรรจุกระสุนได้ในปริมาณมาก
นายกรัฐมนตรีอัลบานีซียังกล่าวว่า รัฐมนตรีด้านตำรวจและอัยการสูงสุดจากทั่วประเทศ ได้รับมอบหมายให้จัดทำนโยบายหลายประการเพื่อจำกัดการเข้าถึงอาวุธปืนของชาวออสเตรเลีย
มาตรการที่กำลังพิจารณารวมถึง การกำหนดให้ผู้ถือใบอนุญาตครอบครองอาวุธปืนต้องเป็นพลเมืองออสเตรเลีย การตรวจสอบประวัติอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น และการทบทวนใบอนุญาตอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นหลังจากได้รับอนุญาตแล้ว
รัฐบาลยังอยู่ระหว่างพิจารณาการจำกัดจำนวนอาวุธปืนที่บุคคลหนึ่งสามารถครอบครองได้ให้เข้มงวดขึ้น รวมถึงการเพิ่มข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทของอาวุธปืนที่อนุญาตให้ถูกกฎหมาย
นายกรัฐมนตรีและมุขมนตรีของแต่ละรัฐเห็นพ้องให้เร่งดำเนินการจัดตั้งทะเบียนอาวุธปืนระดับชาติ ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2023
การปฏิรูปครั้งใหญ่ที่เสนอขึ้นมานี้ เป็นผลโดยตรงจากเหตุโจมตีที่หาดบอนได ซึ่งทางการได้ประกาศให้เป็นเหตุการณ์ก่อการร้าย
มีรายงานว่าผู้ต้องสงสัยในเหตุยิงครั้งนี้คือ ซาจิด อักราม อายุ 50 ปี และ นาวีด อักราม อายุ 24 ปี อย่างไรก็ตามตำรวจยังไม่ได้เปิดเผยยืนยันตัวตนของมือปืนต่อสาธารณชนอย่างเป็นทางการ
ผู้ก่อเหตุทั้งสองถูกกล่าวหาว่าใช้อาวุธปืนยาวยิงใส่ประชาชนบริเวณชายหาดชื่อดังของนครซิดนีย์ เมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 ธ.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน และมีผู้บาดเจ็บอีกหลายสิบคน
เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเหตุกราดยิงที่ร้ายแรงที่สุดในออสเตรเลียนับตั้งแต่เหตุสังหารหมู่ที่พอร์ตอาร์เธอร์ในปี 1996 ซึ่งมีมือปืนเดี่ยวสังหารผู้คนไป 35 ราย และนำไปสู่การออกมาตรการควบคุมอาวุธปืนอย่างเข้มงวดในเวลาต่อมา รวมถึงการสั่งห้ามอาวุธปืนจู่โจมและปืนลูกซอง
ตำรวจรัฐนิวเซาท์เวลส์ระบุว่า หนึ่งในผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิง ซึ่งเป็นชายวัย 50 ปีและเป็นบิดาของ นาวีด อักราม ที่เป็นมือปืนอีกคน ได้ถูกยิงเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
โดยเขาเป็นผู้ครอบครองใบอนุญาตอาวุธปืนอย่างถูกกฎหมาย และมีอาวุธปืนจดทะเบียนในชื่อของเขาจำนวน 6 กระบอก ซึ่งตำรวจได้เก็บอาวุธทั้งหมดไปแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีแห่งชาติ นายกรัฐมนตรีแอนโทนี อัลบานีซี กล่าวว่า
“บริบทในชีวิตของผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และบางคนอาจถูกทำให้มีแนวคิดสุดโต่งขึ้นตามกาลเวลา ใบอนุญาตไม่ควรถูกมองว่าเป็นการอนุญาตให้ครอบครองตลอดไป” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว
ขณะเดียวกัน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ คริส มินส์ ได้ส่งสัญญาณว่า รัฐบาลของแต่ละรัฐจะพิจารณาการปฏิรูปกฎหมายและมาตรการต่างๆ เพื่อให้มั่นใจว่าเหตุการณ์ในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีก

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบานีซี กล่าวว่า รัฐบาลของเขา พร้อมดำเนินการ “ทุกมาตรการที่จำเป็น” และได้ส่งสัญญาณถึงการปฏิรูปหลายประการเพื่อ คุมเข้มกฎหมายอาวุธปืนให้เข้มงวดยิ่งขึ้น
ขณะที่มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ คริส มินส์ กล่าวกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันจันทร์ว่า
“เราจะทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับชุมชนของเรา และจะพิจารณาการปฏิรูปกฎหมายไปในทิศทางนั้น”
‘เราไม่ได้รอดพ้นจากโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่’
ผู้นำโลกหลายคน รวมถึงอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา เคยยกย่องกฎหมายควบคุมอาวุธปืนที่เข้มงวดของออสเตรเลียในปี 2014 ว่าเป็นต้นแบบสำหรับประเทศของเขา ซึ่งเผชิญเหตุกราดยิงครั้งใหญ่อยู่บ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวกำลังถูกตั้งคำถาม หลังเกิดข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่สามารถป้องกันเหตุสังหารหมู่ครั้งนี้ได้
กลุ่มผู้สนับสนุนการควบคุมอาวุธปืนระบุว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้เป็น “สัญญาณเตือนเร่งด่วน” ถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังเรื่องอาวุธปืนอย่างต่อเนื่อง
มูลนิธิ Alannah & Madeline Foundation ซึ่งก่อตั้งขึ้นหลังเหตุสังหารหมู่ที่พอร์ตอาร์เธอร์ แสดงความยินดีต่อถ้อยแถลงของคริส มินส์ ที่เปิดทางให้มีมาตรการเพิ่มเติม
วอลเตอร์ มิแคก ผู้ก่อตั้งมูลนิธิ ระบุในแถลงการณ์ว่า
“นี่คือการเตือนใจอันน่าสะพรึงกลัวถึงความจำเป็นในการเฝ้าระวังความเกลียดชังและความรุนแรง และความสำคัญของการทำให้กฎหมายอาวุธปืนของเรายังคงคุ้มครองความปลอดภัยของชาวออสเตรเลียทุกคน”

ออสเตรเลียมี อาวุธปืนที่จดทะเบียนและเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนมากกว่า 4 ล้านกระบอก
ทิม ควินน์ กล่าวว่า
“ผมรู้สึกตกใจ สะเทือนใจ และผิดหวังอย่างมากกับสถานการณ์ของออสเตรเลียในวันนี้ เมื่อพิจารณาว่าเราได้มีช่วงเวลา 30 ปีที่ยอดเยี่ยมเพียงใดนับตั้งแต่เหตุการณ์พอร์ตอาร์เธอร์เป็นต้นมา”
“จริง ๆ แล้ว เราแทบไม่ได้เผชิญเหตุยิงครั้งใหญ่เลยนับตั้งแต่นั้น”
ควินน์กล่าวว่า แม้ว่ารายละเอียดเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยังไม่ได้รับการเปิดเผยทั้งหมด แต่หนึ่งในแนวทางที่ควรพิจารณาคือ การกำหนดให้มีการประเมินสุขภาพจิตทุกครั้งที่มีการต่ออายุใบอนุญาตอาวุธปืน
เขายังระบุว่า รัฐนิวเซาท์เวลส์กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ “ (เอกชน) มีอาวุธปืนในครอบครองจำนวนมาก”
“คำถามคือคนคนหนึ่งจำเป็นต้องมีอาวุธปืนถึงหกกระบอกจริงหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องถกเถียงกัน” เขากล่าว
ออสเตรเลียมีปืนมากขึ้นหลังเหตุพอร์ตอาร์เธอร์ และอัตราการครอบครองอาวุธปืนในออสเตรเลียเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากสถาบันวิจัย The Australia Institute ระบุว่า ปัจจุบันออสเตรเลียมีอาวุธปืนมากกว่าช่วงเหตุโศกนาฏกรรมพอร์ตอาร์เธอร์
งานวิจัยชี้ว่า ขณะนี้มีอาวุธปืนมากกว่าช่วงหลังโครงการรับซื้อคืนอาวุธปืนในปี 1996 ถึง 800,000 กระบอก แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะนำอาวุธปืนออกจากระบบไปแล้ว 650,000 กระบอกก็ตาม
The Australia Institute เคยชี้ให้เห็นถึงปัญหาหลายประการในกฎหมายอาวุธปืนของออสเตรเลีย รวมถึงกฎหมายที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ทำให้ยากต่อการบังคับใช้ และความล่าช้าในการจัดตั้งทะเบียนอาวุธปืนแห่งชาติ ซึ่งถูกระบุไว้ในข้อตกลง National Firearms Agreement หลังเหตุพอร์ตอาร์เธอร์
ควินน์กล่าวว่า การจัดตั้งทะเบียนดังกล่าวจำเป็นต้องดำเนินการเป็นขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าระบบมีความถูกต้อง
“ระบบจำเป็นต้องมีความถูกต้องและรอบคอบ” เขากล่าว
— รายงานเพิ่มเติมโดย Australian Associated Press
Share
