ออสเตรเลียเร่งปฏิรูปศูนย์ดูแลเด็ก หลังคดีล่วงละเมิดเขย่าวงการ

การตั้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็กครั้งล่าสุด ทำให้วงการการดูแลเด็กถูกจับตามองอีกครั้งหนึ่ง โดยมีบางฝ่ายเรียกร้องให้ห้ามผู้ชายทำงานในอาชีพนี้ ขณะที่อีกหลายฝ่ายมองว่าเป็นการเรียกร้องดังกล่าวเป็นการแก้ไขที่ฉาบฉวย และนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัวไม่ใช่เป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพ

Children playing with colourful blocks on a table.

คาดว่ามีจำนวนบุคลากรชายในศูนย์ดูแลเด็กมีสัดส่วนประมาณ 2–4% ของแรงงานทั้งหมด Source: Getty / Lourdes Balduque

จากกรณีที่มีการตั้งข้อกล่าวหาล่วงละเมิดเด็กครั้งล่าสุดทำให้วงการดูแลเด็กถูกจับตามองอีกครั้ง โดยมีบางฝ่ายออกมาเรียกร้องให้ห้ามผู้ชายทำงานในอุตสาหกรรมนี้ แม้ว่ามีอีกหลายฝ่ายเตือนว่านโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัวเช่นนี้ ไม่อาจแก้ไข “ความล้มเหลวที่แท้จริง” ภายในระบบอุตสาหกรรมการดูแลเด็กได้

ประเด็นที่เป็นที่ถกเถียงทั่วประเทศเริ่มร้อนแรงตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ( 1 ก.ค.) หลังมีรายงานว่า โจชัว เดล บราวน์ อายุ 26 ปี ถูกตั้งข้อหาล่วงละเมิดทางเพศกว่า 70 กระทง

ระหว่างปี 2017 ถึง 2025 นาย บราวน์ เคยทำงานในศูนย์ดูแลเด็ก 20 แห่งทั่วนครเมลเบิร์น และต่อมาถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าล่วงละเมิดเด็กอายุต่ำกว่าสองขวบ 8 ราย ที่ศูนย์แห่งหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง

อย่างไรก็ตาม นาย บราวน์ไม่เคยอยู่ในข่ายบุคคลเฝ้าระวังของตำรวจวิกตอเรียมาก่อนจนกระทั่งเริ่มการสอบสวน อีกทั้งไม่มีการร้องเรียนอย่างเป็นทางการใด ๆ ต่อเขา

อีกทั้งยังถือใบอนุญาตตรวจสอบประวัติผู้ทำงานกับเด็ก (Working with Children Check) อย่างถูกต้อง

รัฐบาลกลางประกาศจะเข้มงวดกับศูนย์ดูแลเด็กที่ละเมิดกฎความปลอดภัย ขณะเดียวกันรัฐบาลของรัฐและมณฑลต่าง ๆ กำลังร่วมมือกันวางแนวปฏิรูประดับชาติ เพื่อปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตตรวจสอบประวัติผู้ทำงานกับเด็กให้รัดกุมยิ่งขึ้น
จากกรณีที่เกิดขึ้นมีเสียงจากประชาชนบางส่วนออกมาเรียกร้องให้แบนผู้ชายออกจากอาชีพนี้ทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ รเมศ ชเรสถะ ให้ความเห็นว่าข้อเรียกร้องเช่นนี้เป็นการเลือกปฏิบัติและเป็นปฏิกิริยาที่ฉาบฉวย

ชเรสถะ เป็นผู้ก่อตั้งและประธานสมาคม Thriving Educators Aspiring Male Professionals ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนบุคลากรชายในวงการดูแลเด็ก ระบุว่า แม้เขาจะเข้าใจความกลัวและความโกรธของครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หลังเกิดคดีสะเทือนขวัญ

แต่แนวคิดอย่างการห้ามพนักงานผู้ชายเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือช่วยเด็กเข้าห้องน้ำ ซึ่งผู้ให้บริการ Inspire Early Learning Journey ที่มีศูนย์ 16 แห่งนำมาใช้ ถือเป็นนโยบายที่ขับเคลื่อนด้วยความหวาดกลัว และไม่สามารถแก้ไข “ความล้มเหลวที่แท้จริง” ภายในอุตสาหกรรมได้

“สภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่สุดเกิดจากการคัดกรองอย่างเข้มงวด การกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ ระบบรายงานที่โปร่งใส และวัฒนธรรมที่ทำให้เด็กกล้าแสดงออก ซึ่งมาตรการเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องกีดกันคนเพียงเพราะเขาเป็นผู้ชาย” เขากล่าว
A man wearing glasses and a t-shirt in front of a large fern.
รเมศ ชเรสถะ ซึ่งดูแลกลุ่มสนับสนุนบุคลากรชายในศูนย์ดูแลเด็ก ระบุว่า เด็กควรมีโอกาสได้รับแบบอย่างที่ดีและมีความรับผิดชอบจากผู้ชายที่ใส่ใจดูแลเช่นกัน Source: Supplied
ชเรสถะ ระบุว่ามาตรการลักษณะนี้สร้างตราบาปอย่างไม่เป็นธรรมต่อบุคลากรชายในศูนย์ดูแลเด็ก ซึ่งมีความตั้งใจและทำงานอย่างมืออาชีพหลายพันคน อีกทั้งอาจทำให้บางส่วนตัดสินใจลาออกจากอุตสาหกรรมที่ขาดแคลนบุคลากรอยู่แล้ว
ผมเห็นกระแสนี้เกิดขึ้นในกลุ่มของเรา หลายคนเริ่มคิดจะเปลี่ยนสายอาชีพ

เขากล่าวว่าพนักงานชายในศูนย์ดูแลเด็กต้องเผชิญกับการถูกจับตามองมากกว่าปกติในบทบาทหน้าที่ของตน โดยหลายคนพยายามเพิ่มความปลอดภัย ด้วยการทำให้มั่นใจว่าตนจะไม่อยู่กับเด็กตามลำพังขณะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว

“ตอนนี้สถานการณ์ยกระดับไปถึงขั้นที่ผู้ให้บริการรายใหญ่สั่งห้ามพนักงานชายเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือช่วยเหลือเด็กในการเข้าห้องน้ำ ซึ่งผมคิดว่าผลเสียคือจะสร้างความไม่พอใจให้กับเพื่อนร่วมงานผู้หญิง เพราะพวกเขาต้องแบกรับภาระงานมากขึ้น”

ขณะนี้ Inspire Early Learning Journey ยังไม่ได้แถลงต่อสาธารณะเกี่ยวกับนโยบายนี้ แต่มีผู้ปกครองจำนวนหนึ่งแสดงความคิดเห็นในเพจเฟซบุ๊กของผู้ให้บริการ หลังได้รับหนังสือแจ้งมาตรการดังกล่าว

เอสบีเอสนิวส์ได้ติดต่อศูนย์ดูแลเด็กเล็ก Inspire Early Learning Journey เพื่อขอความเห็นแล้ว

ทั้งนี้ ชเรสถะระบุว่า ตามแนวปฏิบัติที่ดี ควรมีพนักงานอย่างน้อยสองคนระหว่างกระบวนการเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือช่วยเด็กเข้าห้องน้ำ แต่ในความเป็นจริงมาตรการนี้อาจทำไม่ได้เสมอไป เพราะข้อจำกัดด้านจำนวนบุคลากรและสัดส่วนเด็กในบางศูนย์

 “ผู้ชายรู้สึกถูกจับตามองอย่างเข้มงวด”

มาร์ติน มิลส์-เบย์น อาจารย์อาวุโสด้านการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยเซาท์ออสเตรเลีย ซึ่งเคยเป็นครูดูแลเด็กมาก่อน และปัจจุบันทำงานวิจัยเชิงวิชาการ รวมถึงให้คำปรึกษาและสนับสนุนผู้ชายในวงการดูแลเด็กมากว่า 20 ปี ระบุว่า ผู้ชายจำนวนมากในสายอาชีพนี้รู้สึกถูกตรวจสอบและควบคุมอย่างเข้มงวด
อาจารย์ มิลส์-เบย์น เขียนบทความใน The Conversation สัปดาห์นี้ ระบุว่า แม้จะเข้าใจในความรู้สึกไม่ไว้วางใจผู้ชายที่ทำงานใกล้ชิดกับเด็ก จากข้อกล่าวหาล่าสุด

แต่ในวงการก็ยังมีพนักงานผู้ชายที่ตั้งใจดี และใส่ใจเด็กอยู่จำนวนมาก และการผลักให้คนกลุ่มนี้ลาออกถือเป็นความผิดพลาด

เขาชี้ว่าผู้ชายที่ทำงานในศูนย์ดูแลเด็กมีเพียงประมาณ 2–4% ของแรงงานทั้งหมด และจากประสบการณ์การพูดคุยกับผู้ชายในสายงานนี้ พบว่าพวกเขามักรู้สึกถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด และตระหนักอย่างยิ่งต่อการปกป้องทั้งเด็กและตัวเอง

“พวกเขามักพยายามไม่อยู่กับเด็กตามลำพัง และใช้วิธีเว้นระยะห่างเพื่อความปลอดภัย รวมถึงให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้ปกครองสามารถมองเห็นได้ตลอด หากต้องเปลี่ยนผ้าอ้อมก็จะทำในพื้นที่เปิด หรือหากเด็กบาดเจ็บหรือร้องไห้ก็ต้องคิดให้รอบคอบถึงวิธีการดูแลที่เหมาะสม” เขาเขียนใน The Conversation

มิลส์-เบย์น กล่าวกับ เอสบีเอสนิวส์ว่า ผู้ชายในวิชาชีพนี้ต้องเผชิญการจับตามองเข้มงวดมากกว่าผู้หญิงมาโดยตลอด เพราะสังคมกลัวว่าผู้ชายจะเป็นผู้ก่อเหตุล่วงละเมิด

“ความจริงคืออาชญากรรมทางเพศส่วนใหญ่เกิดจากผู้ชาย ทำให้พนักงานผู้ชายที่เป็นผู้บริสุทธ์ และมีจำนวนน้อยในสายงานนี้ ต้องตกเป็นเป้า นี่คือปัญหาที่เราต้องร่วมมือกันแก้ไข เพื่อให้ผู้กระทำผิดไม่มีทางเข้าไปใกล้เด็กได้”

เขาเห็นด้วยกับ ชเรสถะ ว่ามาตรการอย่างการห้ามพนักงานชายเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือดูแลเด็กเข้าห้องน้ำอาจไม่ได้ผลจริง

“การห้ามผู้ชายทำงานส่วนสำคัญอย่างการเปลี่ยนผ้าอ้อม ดูแลการเข้าห้องน้ำ หรือการกล่อมเด็กนอน อาจดูเหมือนเป็นทางแก้ปัญหาที่ตรงไปตรงมา แต่จะสร้างภาระเพิ่มให้กับพนักงงานคนอื่นในศูนย์ที่ต้องรับผิดชอบแทน” เขากล่าวกับเอสบีเอสนิวส์
The torsos and arms of three young children playing with trains on wooden track at a table.
นักการศึกษาปฐมวัยส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง และมีบางฝ่ายเตือนว่าหากยิ่งสร้างภาพลบมากขึ้น อาจทำให้จำนวนผู้ชายในสายอาชีพนี้ลดลงไปอีก Source: Getty / Rawpixel
มิลส์-เบย์น ระบุว่ามาตรการห้ามพนักงานชายทำบางหน้าที่อาจสร้างแรงงานแบบสองมาตรฐาน และกระทบโอกาสในการจ้างงานของผู้ชาย

“ถ้าจ้างผู้ชายแต่เขาไม่สามารถทำงานบางส่วนที่ถูกว่าจ้างมาได้ แล้วศูนย์จะคิดอย่างไรหากมีพนักงานที่เป็นคนข้ามเพศหรือไม่ระบุเพศ?”

มิลส์-เบย์น เห็นด้วยกับ เจสัน แคลร์ รัฐมนตรีศึกษาธิการว่าการแก้ปัญหาในอุตสาหกรรมดูแลเด็กไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ปัญหา อย่างไรก็ตามการเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบประวัติผู้ทำงานกับเด็ก (Working with Children Check) อาจจะช่วยได้ และควรมีมาตรการป้องกันไม่ให้นักปฐมวัยคนใดต้องอยู่กับเด็กเพียงลำพัง

“เวลาช่วยเด็กเปลี่ยนผ้าอ้อมหรือเข้าห้องน้ำ ควรมีพนักงงานสองคนมองเห็นกันและกันได้ตลอดเวลา ถ้ามีพนักงานคนใดต้องทำงานในพื้นที่เงียบ ลับตา หรือมุมอับ ถือเป็นความเสี่ยงร้ายแรงที่ควรรายงานทันที”

เขายกตัวอย่างแนวทาง “Four Eyes” ของเนเธอร์แลนด์ ที่กำหนดให้มีพนักงานอย่างน้อยสองคนอยู่กับเด็กเสมอเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้

มิลส์-เบย์น กล่าวด้วยว่า การไต่สวนหาความจริงสาธารณะโดยกรรมาธิการแห่งพระองค์ (Royal Commission) เคยชี้ประเด็นสำคัญ เกี่ยวกับศูนย์ดูแลเด็กควรมีมาตรการที่ลดโอกาสเกิดการล่วงละเมิด เช่น ทำผนังกระจกบริเวณห้องน้ำหรือพื้นที่เปลี่ยนผ้าอ้อม และไม่ควรมีมุมอับภายในศูนย์

ส่วน ชเรสถะ ระบุว่าควรเพิ่มความเข้มงวดในกระบวนการคัดกรองบุคคลที่ต้องการประกอบอาชีพดูแลเด็ก และควรปรับปรุงอัตราส่วนครูต่อเด็กให้เหมาะสมเพื่อยกระดับความปลอดภัยของเด็กในศูนย์

เขายังสนับสนุนแนวทางห้ามพนักงานนำอุปกรณ์ส่วนตัวเข้าไปใช้ระหว่างทำงานกับเด็ก โดยชี้ว่าจำเป็นต้องมีความโปร่งใสและความรับผิดชอบที่มากขึ้น

“อาจดูเป็นเรื่องที่ถกเถียงสำหรับบางคน แต่ผมสนับสนุนการใช้กล้องวงจรปิดในศูนย์ดูแลเด็ก เพื่อสร้างความโปร่งใสและคุ้มครองเด็ก” เขากล่าว พร้อมระบุว่านี่เป็นประเด็นที่รัฐมนตรีด้านการศึกษาปฐมวัยเตรียมหารือกันในการประชุมเดือนหน้า

ด้าน เจสัน แคลร์ รัฐมนตรีศึกษาธิการ ออสเตรเลีย เห็นด้วยว่าไม่ควรห้ามผู้ชายทำงานในศูนย์เด็กเล็ก เพราะที่ผ่านมาเองก็มีข้อกล่าวหาต่อพนักงานผู้หญิงเช่นกัน

แคโรลีน สมิธ ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาปฐมวัย สหภาพ United Workers Union แสดงความกังวลว่าคดีนี้อาจกระทบภาพลักษณ์ของผู้ชายในวิชาชีพนี้ ส่งผลต่อการเข้ามาทำงานของผู้ชายรุ่นใหม่ และทำให้ขาดบุคลากรผู้ชายที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็ก

“เราจำเป็นต้องสร้างระบบที่ปลอดภัยขึ้น มากกว่าการเล็งเป้าหมายไปที่เพศหรือกลุ่มพนักงานใดพนักงานหนึ่ง” สมิธกล่าว
เมลิสซา แมคอินทอช ส.ส.ฝ่ายค้าน ออกมาตั้งคำถามว่ารัฐบาลแรงงานให้ความสำคัญกับประเด็นใดเป็นอันดับแรก พร้อมเรียกร้องให้เร่งปฏิรูปวงการดูแลเด็ก

“ความปลอดภัยของเด็กควรเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” เธอกล่าวในรายการ Insiders ของ ABC

ขณะที่ เจสัน แคลร์ รัฐมนตรีศึกษาธิการ ยอมรับว่าสัปดาห์นี้ว่าการปฏิรูป “กินเวลานานเกินไป”

ด้านฝ่ายค้านยืนยันพร้อมสนับสนุนมาตรการใด ๆ ที่ช่วยปกป้องความปลอดภัยของเด็ก โดยรัฐบาลเตรียมเร่งรัดการเสนอร่างกฎหมายความปลอดภัยในศูนย์ดูแลเด็กเข้าสภาในวันที่ 22 กรกฎาคมนี้

ในส่วนของรัฐวิกตอเรียก็ประกาศมาตรการปฏิรูปเพิ่มเติม เช่น จัดทำทะเบียนผู้ปฏิบัติงานในศูนย์เด็กเล็ก สั่งห้ามใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวภายในศูนย์ และกำหนดให้ติดตั้งกล้องวงจรปิดภาคบังคับ

ประเด็นการแก้ไขกฎหมายตรวจสอบประวัติผู้ทำงานกับเด็กจะถูกหารือในการประชุมอัยการสูงสุดของรัฐและมณฑลครั้งต่อไป

ขณะเดียวกันรัฐบาลกลางกำลังเดินหน้าปราบปรามความเสี่ยงในศูนย์ดูแลเด็กระดับชาติ โดยเฟสแรกจะเน้นคำแนะนำที่เข้มงวดขึ้นเกี่ยวกับการถ่ายภาพ วิดีโอ และกฎการรายงานเหตุภาคบังคับ

คริสตี แมคเบน ส.ส.รัฐบาลกลาง ระบุว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นสิ่งจำเป็น

“มีเรื่องที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงอีกมาก แต่เราจะทำให้เต็มที่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือฝันร้ายที่สุดของพ่อแม่ทุกคน”

รายงานเพิ่มเติมโดยสำนักข่าว Australian Associated Press

หากผู้อ่านต้องการความช่วยเหลือ สามารถติดต่อ Lifeline โทร 13 11 14 หรือส่งข้อความ 0477 13 11 14, Suicide Call Back Service โทร 1300 659 467 และ Kids Helpline โทร 1800 55 1800 (สำหรับเยาวชนอายุ 5–25 ปี) ข้อมูลเพิ่มเติมที่ beyondblue.org.au และ lifeline.org.au

สำหรับข้อมูลหรือการสนับสนุนเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ สามารถติดต่อ Bravehearts โทร 1800 272 831 หรือ Blue Knot โทร 1300 657 380


ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

By Aleisha Orr
Presented by Chayada Powell
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand