ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป ราคาค่าไฟฟ้าในรัฐนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลีย และเซาท์อีสต์ควีนส์แลนด์ เตรียมปรับขึ้นตามราคากลางที่กำหนดโดยสำนักงานกำกับดูแลพลังงานแห่งออสเตรเลีย (AER)
ทั้งนี้การปรับขึ้นนี้จะส่งผลกระทบต่อบ้านเรือน 475,727 หลัง และธุรกิจขนาดเล็ก 91,060 รายในทั้งสามรัฐ ภายใต้ Default Market Offer (DMO) หรือข้อเสนอราคากลาง
ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพดานราคาสูงสุดที่บริษัทพลังงานสามารถเรียกเก็บจากผู้ใช้ที่อยู่ภายใต้สัญญามาตรฐาน (standing offer)
DMO จะมีการปรับทุกปีเพื่อสะท้อนต้นทุนพลังงานที่เปลี่ยนแปลงและในวันจันทร์ที่ผ่านมา (26 พ.ค) รัฐวิกตอเรียก็ได้ประกาศ DMO เช่นกัน
อ่านเพิ่มเติม

ชาวออสเตรเลียหาทางประหยัดค่าไฟที่แพงขึ้น
ค่าไฟจะแพงขึ้นอีกเท่าไหร่
สำนักงานกำกับดูแลพลังงานแห่งออสเตรเลีย (AER) ระบุว่า ต้นทุนค่าไฟที่สูงขึ้นในปีนี้มาจากราคาขายส่งไฟฟ้าและค่าบริการโครงข่ายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
รวมถึงต้นทุนในการให้บริการของบริษัทจำหน่ายพลังงาน เช่น ค่าดูแลลูกค้า ค่าบริหารจัดการระบบเรียกเก็บเงิน ค่าศูนย์บริการลูกค้า การหาลูกค้าใหม่ การจัดการกรณีค้างชำระ และการติดตั้งมิเตอร์อัจฉริยะ (smart meters)
อัตราค่าไฟที่ปรับเพิ่มมีดังนี้:
- รัฐนิวเซาท์เวลส์ (NSW): ลูกค้าทั่วไป (ไม่มีโหลดควบคุม) ขึ้น 8.5% – 9.1% ลูกค้าที่มีโหลดควบคุมหรือการใช้ไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ (controlled load) ขึ้น 8.3% – 9.7%
- เซาท์อีสต์ควีนส์แลนด์ (South-East Queensland): ลูกค้าทั่วไป ขึ้น 3.7% ลูกค้าที่มีโหลดควบคุม ขึ้น 0.5%
- เซาท์ออสเตรเลีย (South Australia): ลูกค้าทั่วไป ขึ้น 3.2% ลูกค้าที่มีโหลดควบคุม ขึ้น 2.3%

Electricity prices are set to rise in several states from July, with the Australian Energy Regulator confirming increases of up to 9.7 per cent for households in NSW. Source: SBS
“เราทราบดีว่านี่ไม่ใช่ข่าวที่ผู้บริโภคอยากได้ยิน ท่ามกลางภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
“ตามที่ได้ระบุไว้ในร่างข้อเสนอ ราคาที่เพิ่มขึ้นในปีนี้เกิดจากแรงกดดันอย่างต่อเนื่องในแทบทุกองค์ประกอบของ DMO
โดยเฉพาะต้นทุนขายส่งและต้นทุนโครงข่ายที่เพิ่มขึ้นในหลายรัฐที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 1% -11% และต้นทุนทางธุรกิจของผู้ให้บริการพลังงานที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 8% - 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน”
และสำหรับรัฐวิกตอเรีย ลูกค้าใช้ไฟในบ้านจะจ่ายแพงขึ้นราว 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ธุรกิจขนาดเล็กกระทบอย่างไร
ลูกค้าธุรกิจขนาดเล็กที่ใช้แผนแบบ standing offer จะพบกับอัตราค่าไฟที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 0.8% ถึง 8.5% แล้วแต่ภูมิภาคที่อยู่
โดยเฉพาะในรัฐ นิวเซาท์เวลส์ (NSW) กลุ่มนี้จะเผชิญกับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นระหว่าง 7.9% ถึง 8.5%
สำหรับธุรกิจขนาดเล็กในแต่ละรัฐ สำนักงาน AER ระบุว่า:
- เซาท์อีสต์ควีนส์แลนด์: ค่าไฟเพิ่มขึ้น 0.8%
- เซาท์ออสเตรเลีย: ขึ้น 3.5%
- วิกตอเรีย: ขึ้นประมาณ 3%
ตรวจสอบและเปรียบเทียบราคาไฟฟ้า
แคลร์ ซาเวจ ประธาน AER แนะให้ผู้ใช้บริการติดต่อผู้ให้บริการพลังงานของตนเพื่อดูว่ามีผู้ให้บริการที่ถูกกว่าหรือไม่ โดยกล่าวว่า:
“ขอแนะนำอย่างยิ่งให้ผู้บริโภคทุกคนหาโปรโมชันหรือแผนการจ่ายค่าไฟฟ้าใหม่ ติดต่อผู้ให้บริการของคุณเพื่อดูว่ามีข้อเสนอที่ดีกว่าหรือไม่ หรือเปรียบเทียบแผนจากเจ้าอื่นดูได้เลย”
ตามกฎของ AER บริษัทจำหน่ายพลังงานจะต้องแจ้งลูกค้าทุก ๆ 100 วัน บนหน้าแรกของบิล ว่ามีโปรโมชันหรือแผนจ่ายเงินที่ดีกว่าหรือไม่ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกแผนที่คุ้มค่าที่สุดได้ทันที
อ่านเพิ่มเติม

ค่าไฟในออสเตรเลียจะยังคงแพงต่อไป
แซลลี ทินดัลล์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูลจากเว็บไซต์เปรียบเทียบการเงินแคนสตาร์ บลู (Canstar Blue) ระบุว่า การปรับขึ้นราคาไฟฟ้าครั้งนี้อาจกระทบต่อครอบครัวจำนวนมากที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤตค่าครองชีพ
“การขึ้นราคาค่าไฟในช่วงนี้เหมือนการซ้ำเติมสำหรับหลายครอบครัวที่กำลังจะกลับมายืนได้อีกครั้งจากภาวะค่าครองชีพพุ่งสูง”
จากการวิจัยของ Canstar พบว่าหากเปลี่ยนจากแผนค่าไฟเฉลี่ย มาใช้แผนที่ราคาต่ำที่สุดในตลาด อาจช่วยให้ประหยัดได้มากกว่า 400 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งในบางครัวเรือนอาจเพียงพอที่จะชดเชยผลกระทบจากการขึ้นราคาครั้งนี้ได้
ทินดัลล์ยังเน้นย้ำว่า
“หากคุณไม่สามารถจ่ายบิลค่าไฟได้ ขอให้รีบติดต่อผู้ให้บริการทันที เพราะผู้ให้บริการทุกรายมีโปรแกรมช่วยเหลือลูกค้าในภาวะลำบาก (hardship program) เพื่อช่วยให้คุณสามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายได้อีกครั้ง”