‘หายนะของมนุษยชาติ’: ส่องวิกฤตประชากรและนโยบายแก้ไขจากออสเตรเลียถึงไทย

ปัญหาค่าครองชีพที่สูง การเข้าถึงที่อยู่อาศัย และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจัยเหล่านี้กำลังส่งผลให้ชาวออสเตรเลียมีบุตรน้อยลง ปัญหาเหล่านี้จะเหมือนหรือต่างจากประเทศไทยอย่างไร

People are seen walking along a riverbank during a festival.

ประชากรออสเตรเลียอาจลดลงในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าเนื่องจากจำนวนเด็กเกิดใหม่ต่ำกว่าช่วงห้าปีก่อน Credit: AAP

ออสเตรเลียกำลังเผชิญสถานการณ์ที่จำนวนประชากรอาจจะเริ่มลดลง โดยอัตราผู้เสียชีวิตอาจแซงหน้าอัตราการเกิด สถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลระยะยาวต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของประเทศ

จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดโดยบริษัทการเงิน KPMG พบว่า แม้อัตราการเกิดในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19

สถานการณ์นี้สะท้อนว่าออสเตรเลียกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และอยู่ในจุดชี้ชะตา (tipping point) ในการรักษาวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบัน

อัตราการเกิดของออสเตรเลียเปลี่ยนแปลงอย่างไร

การวิเคราะห์โดยบริษัท KPMG ใช้ข้อมูลการเกิดจากสำนักงานสถิติออสเตรเลีย และศึกษาค่า “อัตราการเจริญพันธุ์” ซึ่งหมายถึงจำนวนบุตรเฉลี่ยที่ผู้หญิงหนึ่งคนมีตลอดชีวิต

จากผลวิเคราะห์พบว่า ในปี 2024 ออสเตรเลียมีอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.51 ต่ำกว่าค่าทดแทนประชากรที่ 2.1 ซึ่งเป็นระดับที่จำเป็นต่อการรักษาการเติบโตของประชากรอย่างยั่งยืน
ปีที่ผ่านมามีเด็กเกิดใหม่ในออสเตรเลีย 292,500 คน เพิ่มขึ้นจาก 285,000 คนในปีก่อนหน้า

แต่จำนวนนี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อย่างมาก โดยในปี 2013–2019 เคยมีเด็กเกิดใหม่มากกว่า 300,000 คนต่อปี

ผลวิเคราะห์ของ KPMG ยังพบว่า ระหว่างปี 2019 ถึง 2024 ในเขตเมืองใหญ่มีอัตราการเกิดลดลงชัดเจน โดยจำนวนการเกิดในเมืองหลวงในรัฐต่าง ๆ ลดลงถึง 6.5%

เทอร์รี รอว์นสลีย์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านเมืองของ KPMG ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้คนชะลอการมีบุตรคือปัญหาด้านการเงินและค่าครองชีพ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน และค่าดูแลเด็กที่สูงขึ้น

ขณะเดียวกัน ชุมชนในภูมิภาคกลับกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะยังมีความเป็นอยู่ที่ “พอเพียงและจับต้องได้” สำหรับหลายครอบครัวในออสเตรเลีย
A data table showing number of births in 2019 and 2024 in various areas of Australia.
จำนวนทารกเกิดใหม่ในออสเตรเลียลดลงร้อยละ 3.8 ในช่วงระหว่างปี 2019 ถึง 2024 Source: SBS
ลิซ อัลเลน นักประชากรศาสตร์จากศูนย์วิจัยนโยบายสังคม มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ระบุว่า แม้การวิเคราะห์ของ KPMG จะอิงจากข้อมูลเบื้องต้น ไม่ใช่สถิติทางการ แต่ก็สะท้อนแนวโน้มที่น่ากังวลต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ

เธอกล่าวว่า อัตราการเจริญพันธุ์ของออสเตรเลียมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าทดแทนประชากรมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และขณะนี้กำลังเข้าสู่ “ภาวะวิกฤต”

“ตอนนี้เราแตะจุดต่ำสุดแล้ว และการฟื้นตัวจากจุดนี้จะเป็นเรื่องยากมาก”

“ต้องอาศัยการแทรกแซงเชิงนโยบายและการเมืองในระดับใหญ่”

อัลเลนเสริมว่า คนหนุ่มสาวออสเตรเลียจำนวนมากยังต้องการมีลูก แต่หลายคนจำต้องเปลี่ยนแผน หรือเลือกไม่มีบุตรเลย เนื่องจากอุปสรรคทางเศรษฐกิจและความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
อัลเลนเรียกสถานการณ์นี้ว่าเป็น “ทางเลือกที่ถูกจำกัด” (constrained choice)

“ปัจจัยหลักคือ ความหวังที่เลือนราง ความไม่แน่นอน และความกลัวต่ออนาคต” เธอกล่าว

 เธออธิบายว่า คนออสเตรเลียกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น

ราคาที่อยู่อาศัยราคาแพง ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางเพศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลอย่างหนักต่อการตัดสินใจว่าจะมีลูกหรือมีลูกเพิ่มในยุคปัจจุบัน

ทำไมอัตราการเกิดจึงสำคัญ?

อัตราการเกิดมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเติบโตของประชากร และโครงสร้างประชากรสูงวัย

ลิซ อัลเลนระบุว่า หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ ภายในช่วงกลางทศวรรษ 2050 จำนวนผู้เสียชีวิตในออสเตรเลียอาจแซงหน้าการเกิด ซึ่งจะทำให้การลดลงของประชากรกลายเป็น “แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นจริง”

ผลที่ตามมา คือแรงงานในระบบจะลดลง คนจ่ายภาษีน้อยลง ขณะที่ภาระของรัฐในด้านระบบสาธารณสุขและบริการสังคมจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Line graph illustrating Australia's declining birth rate from 2013 to 2024.
Australia's fertility rate has increased slightly since 2023, but remains below its 2013 level. Source: SBS
อัลเลนกล่าวว่า “ปัจจุบันรายได้หลักของรัฐบาลออสเตรเลียมาจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา”

ซึ่งหมายความว่า หากจำนวนประชากรวัยแรงงานลดลงเพราะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รายได้ของรัฐบาลก็จะลดลงตามไปด้วย

“เราจะต้องทำงานภาครัฐให้ได้ผลมากขึ้น ทั้งที่มีงบประมาณน้อยลง”

เธอเชื่อว่า โอกาสที่อัตราการเกิดจะกลับมาเพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปได้น้อยหากไม่มี การปฏิรูปรวดเร็วและเข้มข้นในหลายด้าน เช่นการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมทางเพศ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม เทอร์รี รอว์นสลีย์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านเมืองของ KPMG มองในแง่บวกว่า

ข้อมูลล่าสุดยังให้ “มีความหวัง” หากรายได้ที่ใช้จ่ายได้ (disposable income) ของประชาชนเพิ่มขึ้น อัตราการเกิดก็อาจฟื้นตัวตามไปด้วย

“แม้หลายครอบครัวยังชะลอการมีลูกเพราะค่าครองชีพสูง แต่บางกลุ่มที่มีเงินออมเริ่มหันมาวางแผนมีครอบครัวอีกครั้ง”

“การฟื้นตัวของจำนวนเด็กเกิดใหม่กำลังเกิดขึ้นจริง และคาดว่าปีหน้าอาจแตะ 300,000 คน”

แต่เขาเสริมว่า ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก กว่าจะกลับไปถึงระดับ “ตัวเลขที่คาดหวัง” ซึ่งก็คือ 350,000 คนต่อปี ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาคุณภาพชีวิตของออสเตรเลียในระยะยาว

อัตราการเกิดทั่วโลกก็ลดลง

ออสเตรเลียไม่ใช่ประเทศเดียวที่เผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัย รายงานปี 2024 ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า

อัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยในประเทศสมาชิกลดลงจาก 3.3 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 1960 เหลือเพียง 1.5 ในปี 2022

ประเทศใน OECD ที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดคือ เกาหลีใต้ ซึ่งในปี 2023 มีค่าเฉลี่ยเพียง 0.7 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ลิซ อัลเลน กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ออสเตรเลียก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับ ‘หายนะของมนุษยชาติ’”

“เราผลักปัญหาออกไปเรื่อย ๆ จนวันนี้ต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน ตอนนี้เราอยู่บน ‘จุดเปลี่ยน’ (tipping point) ซึ่งต้องเลือกระหว่างจะตกเหว หรือจะสร้างทางข้ามW

อัลเลน ทิ้งท้ายว่า แต่ที่น่าห่วงคือ ยังไม่เห็นความพยายามที่ชัดเจนในการพาเราข้ามจุดวิกฤตนี้ไปให้ได้

อัตราการเกิดในประเทศไทยเป็นอย่างไร?

ผลการวิจัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากข้อมูลของเว็บไซต์ The Prachakorn ระบุว่าในปีที่แล้ว (2567) ประเทศไทยมีเด็กที่เกิด 461,421 คน และเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี โดยแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่องนี้สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชากรไทย “มีลูกเพื่อชาติ”

ในไทยเองสถานการณ์เด็กเกิดน้อยก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรเช่นเดียวกันกับออสเตรเลีย เพราะจำนวนเด็กเกิดที่ลดลงอย่างมากนี้ ทำให้อัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น

และประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยเมื่อปี 2548 คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นประเทศไทยใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 20 ปี จนกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2567 (อัตราส่วนผู้สูงอายุเกินกว่า 20 %ของประชากรทั้งหมด)

สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบอีกว่าประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความท้าทายในการมีเด็กเกิดน้อยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ

แต่การตัดสินใจที่จะมีลูกยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความพร้อมทางสุขภาพ และบทบาททางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีความลังเลมากกว่า
comment population.jpg
ตัวอย่างความเห็นของประเด็นการมีบุตรในประเทศไทยผ่านทางสื่อโซเชียลออนไลน์ Credit: SBS Thai

“ปั๊มลูกเพื่อชาติ”...นโยบายขายฝัน?

ในช่วงปลายปี 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีสาธารณสุข ชวนคนไทยปั๊มลูกเพื่อชาติที่วางแผนนโยบายที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ,แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 โดยเน้น 3 มาตรการหลัก คือ
  1. ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีบุตร (Enabling Environment) เช่น ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแลและเลี้ยงบุตร
  2. เสริมสร้างความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติ โดยให้คุณค่า “ทุกการเกิดมีความสำคัญ” บทบาทชาย-หญิง และ ทัศนคติต่อการสร้างครอบครัวที่มีรูปแบบหลากหลาย
  3. สนับสนุนให้ผู้ตัดสินใจมีบุตรได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีคุณภาพ เช่น การดูแลรักษาภาวะมีบุตรยาก การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก
อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความคิดเห็นกับสำนักข่าวบีบีซีไทยว่านโยบายเพิ่มประชากร “มีลูกเพื่อชาติ” ดังกล่าว “เป็นเรื่องที่ทำยากมาก” ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก

แม้บางประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นอัตราการเกิดได้เล็กน้อยก็เพราะการลงทุนทางนโยบาย เช่นการให้แม่ลาคลอดได้นานขึ้น อย่างน้อย 6 เดือน รวมถึงการให้พ่อมีสิทธิลาแทนแม่ได้

ดร.สมชัยมีข้อเสนอในเชิงนโยบายถึงรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนระบบจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาท/เดือน ที่ให้เฉพาะเด็กยากจน (รายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/ครัวเรือน) เป็นระบบถ้วนหน้า ปรับปรุงคุณภาพและความทั่วถึงของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน

รวมถึงเร่งปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ่-เล็ก โรงเรียนรัฐ-เอกชน และโรงเรียนใน กทม.-ต่างจังหวัด


ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

By Jessica Bahr
Presented by Chayada Powell
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand