ออสเตรเลียกำลังเผชิญสถานการณ์ที่จำนวนประชากรอาจจะเริ่มลดลง โดยอัตราผู้เสียชีวิตอาจแซงหน้าอัตราการเกิด สถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลระยะยาวต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจของประเทศ
จากการวิเคราะห์ข้อมูลล่าสุดโดยบริษัทการเงิน KPMG พบว่า แม้อัตราการเกิดในปี 2024 จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า แต่ยังต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด-19
สถานการณ์นี้สะท้อนว่าออสเตรเลียกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และอยู่ในจุดชี้ชะตา (tipping point) ในการรักษาวิถีการใช้ชีวิตในปัจจุบัน
อัตราการเกิดของออสเตรเลียเปลี่ยนแปลงอย่างไร
การวิเคราะห์โดยบริษัท KPMG ใช้ข้อมูลการเกิดจากสำนักงานสถิติออสเตรเลีย และศึกษาค่า “อัตราการเจริญพันธุ์” ซึ่งหมายถึงจำนวนบุตรเฉลี่ยที่ผู้หญิงหนึ่งคนมีตลอดชีวิต
จากผลวิเคราะห์พบว่า ในปี 2024 ออสเตรเลียมีอัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.51 ต่ำกว่าค่าทดแทนประชากรที่ 2.1 ซึ่งเป็นระดับที่จำเป็นต่อการรักษาการเติบโตของประชากรอย่างยั่งยืน
ปีที่ผ่านมามีเด็กเกิดใหม่ในออสเตรเลีย 292,500 คน เพิ่มขึ้นจาก 285,000 คนในปีก่อนหน้า
แต่จำนวนนี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อย่างมาก โดยในปี 2013–2019 เคยมีเด็กเกิดใหม่มากกว่า 300,000 คนต่อปี
ผลวิเคราะห์ของ KPMG ยังพบว่า ระหว่างปี 2019 ถึง 2024 ในเขตเมืองใหญ่มีอัตราการเกิดลดลงชัดเจน โดยจำนวนการเกิดในเมืองหลวงในรัฐต่าง ๆ ลดลงถึง 6.5%
เทอร์รี รอว์นสลีย์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านเมืองของ KPMG ระบุว่า ปัจจัยหลักที่ทำให้คนชะลอการมีบุตรคือปัญหาด้านการเงินและค่าครองชีพ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าผ่อนบ้าน และค่าดูแลเด็กที่สูงขึ้น
ขณะเดียวกัน ชุมชนในภูมิภาคกลับกลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะยังมีความเป็นอยู่ที่ “พอเพียงและจับต้องได้” สำหรับหลายครอบครัวในออสเตรเลีย

จำนวนทารกเกิดใหม่ในออสเตรเลียลดลงร้อยละ 3.8 ในช่วงระหว่างปี 2019 ถึง 2024 Source: SBS
เธอกล่าวว่า อัตราการเจริญพันธุ์ของออสเตรเลียมีแนวโน้มต่ำกว่าค่าทดแทนประชากรมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 และขณะนี้กำลังเข้าสู่ “ภาวะวิกฤต”
“ตอนนี้เราแตะจุดต่ำสุดแล้ว และการฟื้นตัวจากจุดนี้จะเป็นเรื่องยากมาก”
“ต้องอาศัยการแทรกแซงเชิงนโยบายและการเมืองในระดับใหญ่”
อัลเลนเสริมว่า คนหนุ่มสาวออสเตรเลียจำนวนมากยังต้องการมีลูก แต่หลายคนจำต้องเปลี่ยนแผน หรือเลือกไม่มีบุตรเลย เนื่องจากอุปสรรคทางเศรษฐกิจและความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น
อ่านเพิ่มเติม
ประชากรที่เพิ่มรวดเร็วดีต่อออสเตรเลียหรือไม่?
อัลเลนเรียกสถานการณ์นี้ว่าเป็น “ทางเลือกที่ถูกจำกัด” (constrained choice)
“ปัจจัยหลักคือ ความหวังที่เลือนราง ความไม่แน่นอน และความกลัวต่ออนาคต” เธอกล่าว
เธออธิบายว่า คนออสเตรเลียกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น
ราคาที่อยู่อาศัยราคาแพง ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเหลื่อมล้ำทางเพศ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลอย่างหนักต่อการตัดสินใจว่าจะมีลูกหรือมีลูกเพิ่มในยุคปัจจุบัน
ทำไมอัตราการเกิดจึงสำคัญ?
อัตราการเกิดมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการเติบโตของประชากร และโครงสร้างประชากรสูงวัย
ลิซ อัลเลนระบุว่า หากแนวโน้มยังคงเป็นเช่นนี้ ภายในช่วงกลางทศวรรษ 2050 จำนวนผู้เสียชีวิตในออสเตรเลียอาจแซงหน้าการเกิด ซึ่งจะทำให้การลดลงของประชากรกลายเป็น “แนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นจริง”
ผลที่ตามมา คือแรงงานในระบบจะลดลง คนจ่ายภาษีน้อยลง ขณะที่ภาระของรัฐในด้านระบบสาธารณสุขและบริการสังคมจะเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Australia's fertility rate has increased slightly since 2023, but remains below its 2013 level. Source: SBS
ซึ่งหมายความว่า หากจำนวนประชากรวัยแรงงานลดลงเพราะการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รายได้ของรัฐบาลก็จะลดลงตามไปด้วย
“เราจะต้องทำงานภาครัฐให้ได้ผลมากขึ้น ทั้งที่มีงบประมาณน้อยลง”
เธอเชื่อว่า โอกาสที่อัตราการเกิดจะกลับมาเพิ่มขึ้นนั้นเป็นไปได้น้อยหากไม่มี การปฏิรูปรวดเร็วและเข้มข้นในหลายด้าน เช่นการเข้าถึงที่อยู่อาศัย ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความเท่าเทียมทางเพศ และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม เทอร์รี รอว์นสลีย์ นักเศรษฐศาสตร์ด้านเมืองของ KPMG มองในแง่บวกว่า
ข้อมูลล่าสุดยังให้ “มีความหวัง” หากรายได้ที่ใช้จ่ายได้ (disposable income) ของประชาชนเพิ่มขึ้น อัตราการเกิดก็อาจฟื้นตัวตามไปด้วย
“แม้หลายครอบครัวยังชะลอการมีลูกเพราะค่าครองชีพสูง แต่บางกลุ่มที่มีเงินออมเริ่มหันมาวางแผนมีครอบครัวอีกครั้ง”
“การฟื้นตัวของจำนวนเด็กเกิดใหม่กำลังเกิดขึ้นจริง และคาดว่าปีหน้าอาจแตะ 300,000 คน”
แต่เขาเสริมว่า ยังต้องใช้เวลาอีกสักพัก กว่าจะกลับไปถึงระดับ “ตัวเลขที่คาดหวัง” ซึ่งก็คือ 350,000 คนต่อปี ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาคุณภาพชีวิตของออสเตรเลียในระยะยาว
อัตราการเกิดทั่วโลกก็ลดลง
ออสเตรเลียไม่ใช่ประเทศเดียวที่เผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัย รายงานปี 2024 ขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่า
อัตราการเจริญพันธุ์เฉลี่ยในประเทศสมาชิกลดลงจาก 3.3 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคนในปี 1960 เหลือเพียง 1.5 ในปี 2022
ประเทศใน OECD ที่มีอัตราการเกิดต่ำที่สุดคือ เกาหลีใต้ ซึ่งในปี 2023 มีค่าเฉลี่ยเพียง 0.7 คนต่อผู้หญิงหนึ่งคน ลิซ อัลเลน กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
“ออสเตรเลียก็ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับ ‘หายนะของมนุษยชาติ’”
“เราผลักปัญหาออกไปเรื่อย ๆ จนวันนี้ต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน ตอนนี้เราอยู่บน ‘จุดเปลี่ยน’ (tipping point) ซึ่งต้องเลือกระหว่างจะตกเหว หรือจะสร้างทางข้ามW
อัลเลน ทิ้งท้ายว่า แต่ที่น่าห่วงคือ ยังไม่เห็นความพยายามที่ชัดเจนในการพาเราข้ามจุดวิกฤตนี้ไปให้ได้
อัตราการเกิดในประเทศไทยเป็นอย่างไร?
ผลการวิจัยของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าตั้งแต่ปี 2527 เป็นต้นมา จำนวนเด็กเกิดในประเทศไทยได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลของเว็บไซต์ The Prachakorn ระบุว่าในปีที่แล้ว (2567) ประเทศไทยมีเด็กที่เกิด 461,421 คน และเป็นครั้งแรกในรอบ 70 ปี ที่ประเทศไทยมีจำนวนเด็กเกิดไม่ถึง 5 แสนคนต่อปี โดยแนวโน้มจำนวนเด็กเกิดลดลงอย่างต่อเนื่องนี้สวนทางกับนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนให้ประชากรไทย “มีลูกเพื่อชาติ”
ในไทยเองสถานการณ์เด็กเกิดน้อยก็เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรเช่นเดียวกันกับออสเตรเลีย เพราะจำนวนเด็กเกิดที่ลดลงอย่างมากนี้ ทำให้อัตราส่วนผู้สูงอายุต่อประชากรทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้น
และประเทศไทยได้กลายเป็นสังคมสูงวัยเมื่อปี 2548 คือมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปคิดเป็น 10% ของประชากรทั้งหมด จากนั้นประเทศไทยใช้เวลาอีกเพียงไม่ถึง 20 ปี จนกลายเป็นสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ในปี 2567 (อัตราส่วนผู้สูงอายุเกินกว่า 20 %ของประชากรทั้งหมด)
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ยังพบอีกว่าประชาชนส่วนใหญ่ตระหนักถึงความท้าทายในการมีเด็กเกิดน้อยที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างประชากรของประเทศ
แต่การตัดสินใจที่จะมีลูกยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนบุคคล เช่น สถานภาพทางเศรษฐกิจ ความพร้อมทางสุขภาพ และบทบาททางสังคม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีความลังเลมากกว่า

ตัวอย่างความเห็นของประเด็นการมีบุตรในประเทศไทยผ่านทางสื่อโซเชียลออนไลน์ Credit: SBS Thai
“ปั๊มลูกเพื่อชาติ”...นโยบายขายฝัน?
ในช่วงปลายปี 2566 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีสาธารณสุข ชวนคนไทยปั๊มลูกเพื่อชาติที่วางแผนนโยบายที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ ,แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 โดยเน้น 3 มาตรการหลัก คือ
- ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการมีบุตร (Enabling Environment) เช่น ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดูแลและเลี้ยงบุตร
- เสริมสร้างความรู้และปรับเปลี่ยนทัศนคติ โดยให้คุณค่า “ทุกการเกิดมีความสำคัญ” บทบาทชาย-หญิง และ ทัศนคติต่อการสร้างครอบครัวที่มีรูปแบบหลากหลาย
- สนับสนุนให้ผู้ตัดสินใจมีบุตรได้รับการดูแลอย่างครบวงจรและมีคุณภาพ เช่น การดูแลรักษาภาวะมีบุตรยาก การส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็ก
อย่างไรก็ตาม ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ให้ความคิดเห็นกับสำนักข่าวบีบีซีไทยว่านโยบายเพิ่มประชากร “มีลูกเพื่อชาติ” ดังกล่าว “เป็นเรื่องที่ทำยากมาก” ไม่เพียงเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดขึ้นกับหลายประเทศทั่วโลก
แม้บางประเทศที่ประสบความสำเร็จในการกระตุ้นอัตราการเกิดได้เล็กน้อยก็เพราะการลงทุนทางนโยบาย เช่นการให้แม่ลาคลอดได้นานขึ้น อย่างน้อย 6 เดือน รวมถึงการให้พ่อมีสิทธิลาแทนแม่ได้
ดร.สมชัยมีข้อเสนอในเชิงนโยบายถึงรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องเปลี่ยนระบบจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาท/เดือน ที่ให้เฉพาะเด็กยากจน (รายได้ไม่เกิน 100,000 บาท/ครัวเรือน) เป็นระบบถ้วนหน้า ปรับปรุงคุณภาพและความทั่วถึงของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน
รวมถึงเร่งปฏิรูประบบการศึกษา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างโรงเรียนขนาดใหญ่-เล็ก โรงเรียนรัฐ-เอกชน และโรงเรียนใน กทม.-ต่างจังหวัด