ถ้ารู้สึกว่าค่าใช้จ่ายซื้อของชำต่อสัปดาห์แพงขึ้นมากในรอบปีที่ผ่านมา คุณไม่ได้คิดไปเอง
ผลสำรวจของบริษัทแคนสตาร์ บลู (Canstar Blue) ระบุว่าค่าของชำในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5 ปี
ยกตัวอย่างเช่น ครอบครัว 4 คนใช้จ่ายเฉลี่ยสัปดาห์ละ 240 ดอลลาร์ เพิ่มจาก 216 ดอลลาร์เมื่อปีก่อน หรือรวมปีละราว 12,480 ดอลลาร์ มากกว่าปี 2021 เกือบ 3,000 ดอลลาร์
การสำรวจชาวออสเตรเลียกว่า 2,800 คน และครอบคลุมการซื้อสินค้าหลากหลาย ตั้งแต่ผักผลไม้ นม ขนมปัง อาหารสำเร็จ ของแห้ง เครื่องดื่ม ไปจนถึงของใช้ในบ้าน
โฆษก Canstar Blue เผยว่าตัวเลขจริงสูงกว่าที่คิด และผู้บริโภครู้สึกว่าจ่ายแพงขึ้นแต่ได้ของน้อยลงเมื่อเทียบกับไม่กี่ปีก่อน

Canstar Blue ระบุว่า ค่าของชำเฉลี่ยต่อสัปดาห์ของครัวเรือนขนาด 4 คน เพิ่มขึ้น 25 ดอลลาร์ เมื่อเทียบกับปีก่อน Credit: SBS
แม้อัตราเงินเฟ้อจะชะลอลง แต่ราคาของชำยังปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ไตรมาสเดือนมิถุนายน จากสำนักงานสถิติแห่งออสเตรเลีย (ABS) ระบุว่า เงินเฟ้อทั่วไปลดลงจาก 2.4% เหลือ 2.1%
อีเดน แรดฟอร์ด กล่าวว่า
“คิดว่าน่าเสียดายที่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้สะสมขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อราคาเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ราคาของจะไม่ลดลง โดยส่วนใหญ่จะคงตัว หรือปรับสูงขึ้นอีก”
ข้อมูลจาก ABS ยังระบุว่าเงินเฟ้อพื้นฐานที่ตัดความผันผวนออก (Trimmed mean) ในรอบปีสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน อยู่ที่ 2.7% ลดลงจาก 2.9% ในไตรมาสมีนาคม
ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยแบบนี้ เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ตัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่ผันผวนออก เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สะท้อนภาวะเงินเฟ้อพื้นฐานอย่างแม่นยำมากขึ้น
แรดฟอร์ดกล่าวว่า แม้ตัวเลขเงินเฟ้อบางรายการจะปรับลดลง แต่ก็ยังมี “แรงกดดันจากเงินเฟ้อแฝงอยู่ในสินค้าทุกประเภทที่เราซื้อ”
เธอกล่าวว่า
“ผลกระทบของเงินเฟ้อมีผลตั้งแต่กระบวนการจัดหาจนถึงการวางขายสินค้าของซูเปอร์มาร์เก็ต” และเสริมว่า
“ท้ายที่สุดแล้ว เวลาที่เราซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต ราคาที่เราจ่ายมักเป็นผลจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น ต้นทุนการเก็บรักษาที่สูงขึ้น หรือความจำเป็นในการขนส่งสินค้าเข้ามาในประเทศ ซึ่งดิฉันคิดว่า น่าเสียดายที่นั่นคือสิ่งที่เราจำเป็นต้องจ่าย”
ซูเปอร์มาร์เก็ตในออสเตรเลียถูกร้องเรียนว่ามีการ “โก่งราคา” หรือขึ้นราคาสินค้าเกินสมเหตุสมผลโดยอ้างอิงจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือสินค้ามีจำกัด
บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Coles และ Woolworths ปฏิเสธข้อกล่าวหานี้มาโดยตลอด ขณะที่รายงานของคณะกรรมาธิการการแข่งขันและผู้บริโภคแห่งออสเตรเลีย (ACCC) เมื่อเดือนมีนาคมไม่พบหลักฐานการโก่งราคา
รายงานขององค์กรผู้บริโภค CHOICE ยังชี้ว่าทำเลที่ซื้อของอาจมีผลต่อราคาของชำ โดยจากการเปรียบเทียบราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ต 104 แห่ง ครอบคลุม 27 พื้นที่ทั่วประเทศในเดือนมีนาคม พบว่า “รัฐที่คุณอาศัยอยู่มีผลต่อเงินที่คุณต้องจ่าย”
รายงานของ Canstar Blue ระบุว่า ครัวเรือนในนอร์เทิร์นเทร์ริทอรีมีค่าใช้จ่ายของชำเฉลี่ยต่อสัปดาห์ต่ำที่สุด ในขณะที่ครัวเรือนในแทสมาเนียมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด
หันมาซื้อของ“แช่แข็ง” แทน “สด”
“เราเห็นผู้คน โดยเฉพาะในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เลือกซื้อของแช่แข็งแทนของสด” แรดฟอร์ด กล่าว
เธอยังเสริมว่า
“ผู้บริโภคพยายามปรับตัวหลายวิธีเพื่อความประหยัด เช่น เลือกไปซื้อของในช่วงเวลาที่ต่างออกไป อย่างเช่นไปแต่เช้าตรู่ หรือแม้แต่ช่วงดึก”
การตระเวนซื้อของตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ กลายเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้บริโภคใช้รับมือกับราคาที่สูงขึ้น โดยรายงานของ Canstar Blue ระบุว่ามากกว่า 61% ของผู้ซื้อเลือกไปซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างน้อยสองแห่งต่อสัปดาห์
โดยรวมแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 80% ของ Canstar Blue ระบุว่าได้ปรับพฤติกรรมการซื้อของในปีที่ผ่านมาเพื่อลดค่าใช้จ่าย
แรดฟอร์ดกล่าวว่า
“การขึ้นราคา โดยเฉพาะในสิ่งจำเป็นอย่างค่าของชำสำหรับครอบครัว ไม่เคยเป็นข่าวดี และไม่ใช่เรื่องที่จัดการได้ง่าย”
เธอเสริมว่า“สิ่งที่เห็นจากการวิจัยนี้ คือมีชาวออสเตรเลียจำนวนมากขึ้นที่ไม่เพียงแค่พยายามรับมือ แต่อาจต้องไปซื้อของหลายๆ ที่ เพื่อให้ได้ของที่ราคาถูกที่สุด"