การเปลี่ยนจากการซื้อสินค้ายี่ห้อดังไปใช้สินค้าตราของซูเปอร์มาร์เก็ตเอง อาจช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินได้หลายพันดอลลาร์ต่อปี จากข้อมูลของเว็บไซต์เปรียบเทียบทางการเงิน คอมแพร์ เดอะ มาร์เก็ต (Compare the Market)
ผลการวิเคราะห์ล่าสุดระบุว่า ชาวออสเตรเลียใช้เงินเฉลี่ยราว 200 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ในซูเปอร์มาร์เก็ต
แต่หากเลือกซื้อสินค้าตราซูเปอร์มาร์เก็ตแทน จะสามารถประหยัดได้ประมาณ 80 ดอลลาร์ต่อการจับจ่ายหนึ่งครั้ง
จากการสำรวจราคาสินค้าจำเป็น 20 รายการในซูเปอร์มาร์เก็ตใหญ่ 2 แห่ง พบว่าช่องว่างระหว่างสินค้ายี่ห้อต่างๆ กับสินค้าตราซูเปอร์มาร์เก็ต อาจช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดได้ถึง 4,212 ดอลลาร์ต่อปี
สินค้าประเภทไหนมีราคาต่างกันมากที่สุด?
Compare the Market ประเมินว่า ชาวออสเตรเลียใช้จ่ายค่าอาหารและของใช้ในบ้านราว 198.16 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็น 858.69 ดอลลาร์ต่อเดือน และกว่า 10,304.32 ดอลลาร์ต่อปี
แต่ถ้าเลือกซื้อ “โฮมแบรนด์” แทนสินค้าแบรนด์ดัง จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในหมวด นม เนย ขนมปัง ธัญพืช และของใช้ในครัวเรือน ที่มักมีส่วนต่างราคามากที่สุด
ฟิลลิป พอร์ตแมน โฆษกของ Compare the Market บอกกับเอสบีเอส นิวส์ ว่าผู้บริโภคอาจลดค่าใช้จ่ายได้เกือบครึ่ง หากเลือกซื้อสินค้าตราของซูเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วถูกกว่าสินค้ายี่ห้อต่างๆ ถึง 49%
เขาเผยว่า “หากคุณซื้อสินค้าหรือของใช้พื้นฐานอย่างขนมปัง นม ไข่ และชีส หากเป็นยี่ห้อดังจะอยู่ที่ราว 164 ดอลลาร์
แต่ถ้าเป็นโฮมแบรนด์จะอยู่ที่เพียงประมาณ 83 ดอลลาร์ ซึ่งเห็นว่าช่วยประหยัดไปได้มากทีเดียวและอาจจะประหยัดมากกว่าที่เราคาดไว้ด้วย”
การเปลี่ยนมาใช้โฮมแบรนด์ช่วยประหยัดได้ชัดเจน เช่น
- ผงซักฟอก 4 กิโลกรัม ประหยัดได้ 23 ดอลลาร์
- กาแฟสำเร็จรูป 200 กรัม ประหยัดได้ 9.50 ดอลลาร์
- ครีมอาบน้ำ 1 ลิตร ประหยัดได้ 7.20 ดอลลาร์
- น้ำยาบ้วนปาก 500 มิลลิลิตร ประหยัดได้ 6 ดอลลาร์
- สเปรย์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ 750 มิลลิลิตร ประหยัดได้ 5 ดอลลาร์
จากการสำรวจในเดือนสิงหาคม Compare the Market พบว่า ผู้บริโภคสามารถประหยัดได้ถึง 4,212 ดอลลาร์ต่อปี หากเลือกซื้อสินค้าโฮมแบรนด์ที่มีราคาถูกกว่าสินค้ายี่ห้อทั่วไป Source: SBS
อย่างไรก็ตาม เธอชี้ว่า สิ่งที่ผู้บริโภคอาจรู้สึกเสียเปรียบคือ ความหลากหลายของตัวเลือก เช่น ซอสมะเขือเทศสำหรับพาสต้าแบบโฮมแบรนด์อาจมีเพียงมะเขือเทศอย่างเดียว
ขณะที่ซอสยี่ห้อดังอาจมีส่วนผสมเพิ่มอย่างโหระพา กระเทียม หรือเครื่องเทศอื่น ๆ
บราวน์ยังเสริมว่า ความต่างของราคา บางครั้งมาจาก “รายละเอียดเล็ก ๆ” เช่น มะเขือเทศกระป๋องที่มีหรือไม่มีฝาเปิดแบบดึงวงแหวน (ring-pull lid)
สินค้าประเภทไหนมีราคาถูก?
พอร์ตแมนระบุว่า ความแตกต่างของราคาสินค้าที่เห็นได้ชัดที่สุดคือหมวดของใช้ในห้องน้ำและของทำความสะอาด
เขากล่าวว่า “ถ้าเรายอมปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เช่น เจลอาบน้ำหรือน้ำยาบ้วนปาก จะพบว่าตรงนี้ช่วยประหยัดได้เยอะ รวมถึงของใช้ทำความสะอาดที่มักจะมีความแตกต่างของราคาสินค้าค่อนข้างมาก”
“อย่างเช่น ฟองน้ำ ผ้าเช็ดทำความสะอาด หรือน้ำยาล้างพื้น ถ้ายอมเปลี่ยนไปใช้โฮมแบรนด์ ก็จะช่วยประหยัดเงินได้มาก”
ส่วนสินค้าที่คุณอาจจะประหยัดได้น้อยที่สุดคือกลุ่ม อาหารโฮมแบรนด์
ผู้บริโภคอาจประหยัดได้เพียงประมาณ 30 เซ็นต์สำหรับถั่วลันเตาแช่แข็ง, 50 เซ็นต์สำหรับเนย, และ 75 เซ็นต์สำหรับโยเกิร์ต
ทำไมสินค้าโฮมแบรนด์ถึงถูกกว่า?
ซาราห์ เม็กกินสัน โฆษกของเว็บไซต์เปรียบเทียบการเงิน Finder เคยอธิบายกับเอสบีเอสนิวส์ไว้ว่า สาเหตุหลักมาจาก
ต้นทุนบรรจุภัณฑ์ที่ต่ำกว่า ไม่มีหรือมีตัวกลางในห่วงโซ่อุปทานน้อยกว่า บางครั้งยังใช้ สูตรหรือวัตถุดิบที่ต้นทุนต่ำกว่า ทั้งหมดนี้ทำให้ราคาสินค้าโฮมแบรนด์สามารถถูกกว่าสินค้ายี่ห้อทั่วไปได้อย่างชัดเจน
แต่ปัจจัยสำคัญที่สุดที่ทำให้โฮมแบรนด์ถูกกว่ามากคือ การไม่มีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด
เม็กกินสันอธิบายว่า “บรรดาสินค้ายี่ห้อดังมักลงทุนเงินจำนวนมหาศาลทั้งในการสร้างแบรนด์และทำแคมเปญการตลาด
อีกทั้งยังต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้กับซูเปอร์มาร์เก็ต เช่น วูลเวิร์ธส เพื่อให้ได้พื้นที่จัดวางสินค้าบนชั้นระดับสายตา หรือบริเวณปลายทางเดินที่เป็นจุดเด่น”
“ในทางตรงกันข้าม สินค้าโฮมแบรนด์ไม่ได้ลงทุนในเรื่องนี้เลย และยอมวางตัวเองไว้ที่ชั้นล่าง ๆ ของซูเปอร์มาร์เก็ตอย่างไม่กังวล ขณะที่สินค้ายี่ห้อดังต้องแข่งกันจ่ายเพื่อพื้นที่วางของแพง ๆ เหล่านั้น”
สินค้าโฮมแบรนด์ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลือกประหยัดสำหรับผู้บริโภคเท่านั้น แต่ยังเป็น หนทางเพิ่มกำไรแก่ซูเปอร์มาร์เก็ตอีกด้วย
เคต บราวน์ กล่าวไว้ว่า “ซูเปอร์มาร์เก็ตชอบโฮมแบรนด์เพราะพวกเขาเป็นเจ้าของแบรนด์เอง เราเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในออสเตรเลีย เมื่อ 10–12 ปีก่อน
สินค้ายี่ห้อมีมากกว่านี้มาก แต่ตอนนี้ซูเปอร์มาร์เก็ตหันมาใช้แบรนด์ของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อผลกำไรที่มากขึ้น”
วิธีประหยัดอื่น ๆ
พอร์ตแมน แนะนำว่า หากผู้บริโภควางแผนล่วงหน้า ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ เช่นวางแผนเมนูตามสินค้าที่กำลังลดราคา แบ่งซื้อจากหลายร้าน แทนที่จะยึดติดกับร้านเดียว ดูราคาต่อหน่วย เพื่อเปรียบเทียบว่าซื้อปริมาณเล็กหรือตุนแบบยกลังจะคุ้มค่ากว่า
“เรามักจะบอกเสมอให้ผู้บริโภคชั่งน้ำหนักการเลือกซื้อของ ‘ตามเงินในกระเป๋า’ พอร์ตแมนกล่าว
— รายงานเพิ่มเติมโดย Alexandra Koster