เตือนนักท่องเที่ยวออสเตรเลีย เลี่ยงเดินทางชายแดนไทย–กัมพูชา

รัฐบาลออสเตรเลียประกาศคำแนะนำการเดินทางล่าสุด หลังเกิดเหตุยิงตอบโต้กันระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็นการยกระดับความตึงเครียดไปสู่ความรุนแรงจากข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี

A woman stands at a lectern looking serious.

รัฐมนตรีต่างประเทศ เพนนี หว่อง เรียกร้องให้ชาวออสเตรเลียทบทวนความจำเป็นในการเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดนระหว่างกัมพูชาและไทย Source: AAP / Lukas Coch

รัฐมนตรีต่างประเทศ เพนนี หว่อง ระบุว่า ออสเตรเลียมี “ความกังวลอย่างยิ่ง” ต่อสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา พร้อมเรียกร้องให้นักท่องเที่ยวใช้ความระมัดระวังและพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนเดินทางไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

รัฐบาลออสเตรเลียได้อัปเดตคำแนะนำการเดินทางบนเว็บไซต์ Smartraveller หลังเกิดเหตุยิงตอบโต้กันระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งนับเป็นการยกระดับข้อพิพาทชายแดนที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี

รายงานระบุว่าเมื่อวันที่ 24 ก.ค. เครื่องบินรบ F-16 ของไทยได้โจมตีเป้าหมายในกัมพูชา หลังจากทั้งสองฝ่ายยิงปืนใหญ่ตอบโต้กัน ส่งผลให้มีพลเรือนไทยเสียชีวิตอย่างน้อย 11 ราย

นางเพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ระบุผ่านแพลตฟอร์ม X เมื่อวันศุกร์ว่า

“ออสเตรเลียมีความกังวลอย่างยิ่งต่อสถานการณ์ความตึงเครียดที่ทวีขึ้นบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงมีการรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต”

 “เราขอเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายลดระดับความตึงเครียด และแก้ไขปัญหาเขตแดนด้วยสันติวิธี”

คำแนะนำการเดินทางไปยังไทยและกัมพูชา

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Smartraveller ของรัฐบาลออสเตรเลียได้ออกคำแนะนำให้นักท่องเที่ยว พิจารณาความจำเป็นในการเดินทาง ไปยังพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ และอุบลราชธานี เนื่องจากมีความขัดแย้งด้วยอาวุธในพื้นที่

คำเตือนระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวมีรายงานเกี่ยวกับ “การโจมตีทางทหาร เหตุรุนแรง และกับระเบิด”

นักเดินทางควรปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการท้องถิ่น ติดตามข่าวสารจากสื่อท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยส่วนบุคคลเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ยังเตือนว่าด่านผ่านแดนตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา อาจมีการปิดแบบกระทันหันโดยไม่แจ้งล่วงหน้า

รัฐบาลออสเตรเลียยังคงแนะนำให้นักเดินทางใช้ความระมัดระวังในระดับสูงหากต้องเดินทางไปประเทศไทยโดยรวม

การเดินทางไปประเทศกัมพูชา

รัฐบาลออสเตรเลียแนะนำให้นักท่องเที่ยว พิจารณาความจำเป็นในการเดินทาง ไปยังพื้นที่ชายแดนทางตอนเหนือและตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา โดยเฉพาะจังหวัดพระวิหาร (Preah Vihear) และอุดรมีชัย (Oddar Meanchey) ขณะที่พื้นที่อื่น ๆ ในกัมพูชายังคงแนะนำให้ใช้ความระมัดระวังตามปกติ

สถานการณ์ชายแดน: สิ่งที่ทราบจนถึงขณะนี้

ไทยและกัมพูชาต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายเริ่มการปะทะเมื่อช่วงเช้ามืดวันพฤหัสบดี ซึ่งความรุนแรงได้ยกระดับอย่างรวดเร็วจากการยิงอาวุธเบาไปสู่การยิงปืนใหญ่หนักในอย่างน้อย 6 จุดตามแนวชายแดน

ไทยได้ส่งเครื่องบินรบ F-16 จำนวน 6 ลำเข้าสู่ภารกิจที่ถือว่าไม่เกิดขึ้นบ่อยในการสู้รบจริง โดยหนึ่งในนั้นถูกนำไปโจมตีเป้าหมายของกองทัพกัมพูชา ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาประณามว่าเป็น “การรุกรานทางทหารที่โหดร้ายและขาดความยับยั้งชั่งใจ”

กองทัพไทยชี้แจงว่า การใช้กำลังทางอากาศเป็นไปเพื่อความแม่นยำในการโจมตี

เช้ามืดวันที่ 26 กรกฎาคม สำนักข่าวบีบีไทยรายงานว่า เกิดเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาด้านตะวันออก ที่บ้านชำราก อำเภอเมืองตราด โดยกระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า กัมพูชาเริ่มโจมตีในเขตแดนไทยเวลาประมาณ 05.10 น. ก่อนที่ทหารนาวิกโยธินของไทยจะตอบโต้และผลักดันทหารกัมพูชาที่รุกล้ำออกจากพื้นที่ 3 จุดได้ภายในเวลา 05.40 น.

ก่อนหน้านี้ในค่ำวันที่ 25 กรกฎาคม มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกเพิ่มเติมในบางพื้นที่ ได้แก่ อำเภอเขาสมิง จังหวัดตราด และอีก 7 อำเภอในจังหวัดจันทบุรี โดยมีผลบังคับใช้ทันที ตามคำสั่งของผู้บัญชาการกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด

และวันที่ 27 กรกฎาคม 2568 นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนครี เปิดเผยว่า ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย- กัมพูชา (ศบ.ทก.) รับทราบรายงานบันทึกเหตุการณ์การปะทะบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา มีรายงานผู้เสียชีวิต 14 เจ็บ 37 และมีประชาชน 1.3 แสนอพยพออกจากพื้นที่

ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บฝั่งกัมพูชายังไม่มีการยืนยันแน่ชัด
People sitting on the ground, inside a makeshift shelter.
Thai people who fled clashes between Thai and Cambodian soldiers taking shelter in Surin province in north-eastern Thailand. Source: AAP / AP/Sunny Chittawil

ไทย-กัมพูชาต่างประณามความขัดแย้งชายแดน

พล.อ.ประถม เวชชาชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า

“เราขอประณามการใช้กำลังรุนแรงโดยปราศจากเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเขตความขัดแย้ง... การใช้กำลังเช่นนี้ไม่เป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

“ไทยยังคงยึดมั่นในแนวทางสันติวิธี และควรมีการเจรจา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการยั่วยุ และเราจำเป็นต้องปกป้องตนเอง”

ด้าน สมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต ( ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา) ได้ส่งหนังสือถึงปากีสถาน ในฐานะประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ในปัจจุบัน เรียกร้องให้ UNSC จัดการประชุมเร่งด่วน เพื่อหยุดยั้งสิ่งที่เขาเรียกว่า “การรุกรานทางทหารโดยไม่มีการยั่วยุและมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า” ของไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศสะสมมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม หลังจากทหารกัมพูชาถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการปะทะสั้น ๆ และทั้งสองฝ่ายต่างเพิ่มกำลังพลตามแนวชายแดน

การยกระดับความรุนแรงในครั้งนี้ถือเป็นความขัดแย้งรุนแรงที่สุดในรอบ 13 ปี โดยเริ่มขึ้นหลังจากไทยเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากกรุงพนมเปญ และขับไล่ทูตกัมพูชาออกจากกรุงเทพฯ เพื่อเป็นการตอบโต้เหตุการณ์ที่ทหารไทยอีกนายหนึ่งเสียขาจากกับระเบิด ซึ่งไทยกล่าวหาว่ากัมพูชาเพิ่งฝังไว้ในพื้นที่พิพาท ข้อกล่าวหาที่กัมพูชาออกมาปฏิเสธว่า “ไม่มีมูลความจริง”

ข้อพิพาทชายแดนยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษ

ไทยและกัมพูชามีข้อพิพาทเรื่องเขตแดนมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะตามจุดต่าง ๆ ตลอดแนวชายแดนทางบกระยะทาง 817 กิโลเมตร ซึ่งยังไม่ได้มีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน

ประเด็นหลักของข้อพิพาทคือ “สิทธิในความเป็นเจ้าของปราสาทหินโบราณ” ได้แก่ ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทพระวิหาร ซึ่งต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ในพื้นที่ดังกล่าว
A large building that reads "Royal Thai Embassy".
The clashes came after Thailand recalled its ambassador to Cambodia late on Wednesday and said it would expel Cambodia's envoy in Bangkok. Source: AAP / EPA/Kith Serey
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำตัดสินเมื่อปี 2505 (ค.ศ. 1962) ให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่ความตึงเครียดปะทุขึ้นอีกครั้งในปี 2551 เมื่อกัมพูชาพยายามขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกกับยูเนสโก

เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่การปะทะกันเป็นระยะต่อเนื่องหลายปี และมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 12 คน

ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กัมพูชาระบุว่าได้ยื่นเรื่องต่อศาลโลก (ICJ) เพื่อขอให้ช่วยแก้ไขข้อพิพาทกับไทย อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยืนยันว่าไม่เคยยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก และย้ำว่าต้องการใช้แนวทางการเจรจาทวิภาคีเท่านั้น

นานาชาติแสดงจุดยืน

ในระดับภูมิภาค ฟิลิปปินส์และเวียดนามออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้ความอดกลั้น ขณะที่จีนแสดงความพร้อมที่จะมีบทบาทช่วยลดความตึงเครียด

สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นพันธมิตรตามสนธิสัญญากับไทยมายาวนาน เรียกร้องให้ยุติการปะทะโดยทันที

“เรารู้สึกกังวลอย่างยิ่งต่อความรุนแรงที่ทวีขึ้นตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา และรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตของพลเรือน”

ทอมมี พิกอตต์ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในการแถลงข่าวประจำวัน

“สหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการยุติการปะทะในทันที คุ้มครองพลเรือน และหาทางออกอย่างสันติ”

และในวันนี้ (28 ก.ค.) ไทยและกัมพูชาจะประชุมเจรจาเกี่ยวกับความขัดแย้งนี้ที่ประเทศมาเลเซีย

 แปลและเรียบเรียงจากรายงานของสำนักข่าว Reuters


ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

By Emma Brancatisano
Presented by SBS Thai
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand