สำนักข่าวโทรทัศน์ของอิหร่านรายงานว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติของอิหร่านจะตัดสินใจขั้นสุดท้ายว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่
หลังจากที่มีรายงานว่ารัฐสภาอิหร่านให้การสนับสนุนมาตรการนี้เพื่อตอบโต้การที่สหรัฐอเมริกาโจมตีแหล่งนิวเคลียร์หลายแห่งของอิหร่าน
ที่ผ่านมา อิหร่านเคยขู่จะปิดช่องแคบแห่งนี้หลายครั้ง แต่ยังไม่เคยดำเนินการจริง ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะกระทบต่อการค้าทางเรือ และอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันโลกผันผวนอย่างรุนแรง
ช่องแคบฮอร์มุซคืออะไร?
ช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) ตั้งอยู่ระหว่างประเทศโอมานและอิหร่าน เป็นทางเดินเรือที่เชื่อมอ่าวเปอร์เซียทางเหนือกับอ่าวโอมานและทะเลอาหรับทางใต้
บริเวณที่แคบที่สุดของช่องแคบนี้มีความกว้างประมาณ 33 กิโลเมตร โดยเส้นทางเดินเรือที่ใช้จริงกว้างเพียงด้านละ 3 กิโลเมตรเท่านั้น
ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ เพราะเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบมากกว่าหนึ่งในห้าของโลก
ทำไมช่องแคบฮอร์มุซจึงมีความสำคัญ?
เพราะปริมาณน้ำมันประมาณหนึ่งในห้าที่โลกใช้อยู่ในปัจจุบันต้องขนส่งผ่านช่องแคบนี้
จากข้อมูลของบริษัทวิเคราะห์ข้อมูลวอร์เทกซา (Vortexa) ชี้ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2022 จนถึงเดือนที่ผ่านมา มีการขนส่งน้ำมันดิบ คอนเดนเสต (condensate) หรือของเหลวควบแน่นจากก๊าซธรรมชาติ เป็นสารไฮโดรคาร์บอนที่สามารถนำไปกลั่นเป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น น้ำมันเบนซิน และเชื้อเพลิง ผ่านช่องแคบฮอร์มุซวันละประมาณ 17.8 ถึง 20.8 ล้านบาร์เรล
ประเทศสมาชิกกลุ่มโอเปก (OPEC) อย่างซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และอิรัก ล้วนส่งออกน้ำมันส่วนใหญ่ผ่านช่องแคบนี้ โดยมีจุดหมายปลายทางหลักคือเอเชีย
แม้บางประเทศ เช่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และซาอุดีอาระเบีย พยายามหาทางส่งออกผ่านเส้นทางอื่นเพื่อลดการพึ่งพาช่องแคบฮอร์มุซ แต่เส้นทางนี้ก็ยังคงเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของโลก

ในการค้าขายน้ำมันระดับโลก มีจุดผ่านยุทธศาสตร์ทางทะเลอยู่ทั้งหมด 7 แห่ง โดยช่องแคบฮอร์มุซถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 2 ของจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด Source: Getty / Muhammed Ali Yigit
อย่างไรก็ตาม ประเทศกาตาร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) รายใหญ่ที่สุดของโลก ยังคงต้องพึ่งพาช่องแคบนี้เกือบทั้งหมดในการขนส่ง LNG ออกสู่ตลาดโลก
และเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงในพื้นที่ สหรัฐฯ ได้วางกองกำลังของกองเรือที่ 5 ประจำการอยู่ที่บาห์เรน เพื่อคุ้มครองเส้นทางเดินเรือพาณิชย์ในบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ
ประวัติความตึงเครียดในภูมิภาค
ในปี 1973 ประเทศผู้ผลิตน้ำมันอาหรับ นำโดยซาอุดีอาระเบีย ได้ประกาศคว่ำบาตรน้ำมันต่อชาติตะวันตกที่สนับสนุนอิสราเอลในสงครามกับอียิปต์ ส่งผลให้เกิดวิกฤตพลังงานทั่วโลก
ในอดีต ประเทศตะวันตกเป็นลูกค้าหลักของน้ำมันดิบจากชาติอาหรับ แต่ปัจจุบันภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะจีน อินเดีย และญี่ปุ่น กลายเป็นผู้ซื้อหลักของน้ำมันจากกลุ่มโอเปก (OPEC)
สหรัฐฯ เพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่าสองเท่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ทำให้เปลี่ยนสถานะจากผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่
ในช่วงสงครามอิหร่าน–อิรัก (ค.ศ. 1980–1988) ทั้งสองประเทศพยายามโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของกันและกันในเหตุการณ์ที่รู้จักกันในชื่อ “สงครามเรือบรรทุกน้ำมัน” หรือ Tanker War เพื่อบ่อนทำลายการส่งออกพลังงานของฝ่ายตรงข้าม
อ่านเพิ่มเติม

ทำไมราคาน้ำมันถึงสูงทำสถิติและทำไมบางปั๊มราคาถูกกว่า
เหตุการณ์สำคัญที่ตอกย้ำความตึงเครียดในช่องแคบฮอร์มุซ
กรกฎาคม 1988 เรือรบสหรัฐฯ ยิงเครื่องบินโดยสารของอิหร่านตกโดยอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุ ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 290 คนบนเครื่องบิน ขณะที่อิหร่านมองว่าเป็นการโจมตีโดยเจตนา
มกราคม 2012 อิหร่านขู่จะปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพื่อตอบโต้การคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ และยุโรป
พฤษภาคม 2019 เรือบรรทุกน้ำมัน 4 ลำ รวมถึงเรือของซาอุดีอาระเบีย 2 ลำ ถูกโจมตีใกล้ชายฝั่งของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกช่องแคบฮอร์มุซ
ปี 2023 และ 2024 อิหร่านยึดเรือพาณิชย์ 3 ลำบริเวณช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งบางกรณีเกิดขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ยึดเรือที่เกี่ยวข้องกับอิหร่าน
เหตุการณ์เหล่านี้สร้างความกังวลว่า หากเกิดความขัดแย้งเต็มรูปแบบในอ่าวเปอร์เซีย อาจส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเสถียรภาพของการค้าพลังงานทั่วโลก
สถานการณ์นี้จะส่งผลต่อราคาเชื้อเพลิงในออสเตรเลียอย่างไร
ข้อมูลจากสำนักข่าว ABC รายงานว่าราคาน้ำมันเบนซินในออสเตรเลียอาจพุ่งสูงถึงลิตรละ 2.20 ดอลลาร์ หากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่านยังยืดเยื้อ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกเพิ่มสูงขึ้น
ปัจจุบัน ราคาน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ประมาณ 178.6 เซนต์ต่อลิตร แต่หากแนวโน้มราคาน้ำมันดิบยังคงสูงขึ้น อาจทำให้ราคาหน้าปั๊มพุ่งแตะระดับ 2.20 ดอลลาร์ต่อลิตรได้