Feature

ภารกิจช่วยเหลือนกค็อกคาทูดำที่ใกล้สูญพันธุ์ของชาวออสเตรเลีย

นกค็อกคาทูดำสายพันธุ์พื้นเมืองของออสเตรเลียกำลังตกอยู่ในอันตราย นักอนุรักษ์และชุมชนเหล่านี้จึงเร่งฟื้นฟูถิ่นอาศัยและแหล่งอาหารของพวกมัน

An illustration of a forest, red-tailed black cockatoo sitting on a branch with leaves.

นกค็อกคาทูดำสายพันธุ์พื้นเมืองของออสเตรเลียกำลังตกอยู่ในอันตราย Source: SBS

เมื่อหลายสิบปีก่อน ฝูงนกค็อกคาทูดำนับพันตัวเคยบินปกคลุมท้องฟ้าบริเวณบางพื้นที่ของฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย

แต่ทุกวันนี้ ฝูงส่วนใหญ่เหลือเพียงไม่กี่สิบกว่าตัว

จำนวนที่ลดลงอย่างต่อเนื่องของนกค็อกคาทูดำเหล่านี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ไซมอน เชอร์ริแมน (Simon Cherriman) มายังพื้นที่ป่าในเขตชานเมืองเฮเซลเมียร์ (Hazelmere) ของเมืองเพิร์ธ พร้อมกับสว่านและเศษไม้เก่า

เขามาที่นี่เพื่อแบ่งปันทักษะความรู้ในการสร้างรังเทียมให้กับกลุ่มอาสาสมัครที่มีความสนใจจะช่วยฟื้นฟูสายพันธุ์ค็อกคาทูดำพื้นเมืองของเวสเทิร์นออสเตรเลียทั้งสามสายพันธุ์
Six people standing outside around wooden boxes filled with pieces of wood
นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ไซมอน เชอร์ริแมน นำร่องการจัดเวิร์กช็อปให้ความรู้แก่อาสาสมัครเพื่อสร้างรังนกเทียมเพื่อนกค็อกคาทูสายพันธุ์ท้องถิ่นที่กำลังเสี่ยงสูญพันธุ์ Source: Supplied / Trillion Trees
นกค็อกคาทูดำ 4 ใน 5 สายพันธุ์ของออสเตรเลียกำลังตกอยู่ในอันตราย

ความเปราะบางที่เพิ่มขึ้นของพวกมันได้กระตุ้นให้ชุมชนทั่วประเทศต้องลงมือเพื่อปกป้องจำนวนประชากรนกที่ยังเหลืออยู่ และพยายามป้องกันไม่ให้นกสายพันธุ์เหล่านี้ต้องสูญพันธุ์

โดยเฉพาะสามสายพันธุ์ที่ได้กลายเป็นจุดสนใจของนักอนุรักษ์และกลุ่มปกป้องสิทธิสัตว์ ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นประเด็นในทางคดีความ

นกค็อกคาทูดำที่กำลังตกอยู่ในอันตราย

ในบรรดา 4 สายพันธุ์ที่ถูกจัดว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงสูญพันธุ์ มีหนึ่งสายพันธุ์ที่มีประชากรน้อยที่สุด คือสายพันธุ์ย่อยของนกค็อกคาทูดำขนเงา (glossy black cockatoo) ซึ่งปัจจุบันจำกัดอยู่เฉพาะบน Kangaroo Island ของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย

ขณะที่ประชากรของสายพันธุ์ย่อยชนิดนี้ในรัฐควีนส์แลนด์และนิวเซาท์เวลส์ยังถือว่าอยู่ในระดับคงที่ แต่ในเซาท์ออสเตรเลียนั้น เชื่อว่ามีจำนวนน้อยกว่า 500 ตัว และถูกจัดให้เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์
อีกสายพันธุ์หนึ่งคือนกค็อกคาทูดำหางเหลือง ซึ่งพบได้ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย แทสมาเนีย และในรัฐที่อยู่ทางตะวันออก

จำนวนของพวกมันเป็นที่เข้าใจว่ากำลังลดลงเนื่องจากการสูญเสียถิ่นอาศัย แต่ในปัจจุบัน สายพันธุ์นี้ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนว่าเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ภายใต้พระราชบัญญัติการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความหลากหลายทางชีวภาพ (Environmental Protection and Biodiversity Conservation Act)

รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียเป็นบ้านของอีกสามสายพันธุ์ที่กำลังเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์บอแด็ง (Baudin’s) ซึ่งอยู่ในภาวะวิกฤต สายพันธุ์คาร์นาบี (Carnaby’s) ซึ่งอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์, และสายพันธุ์ค็อกคาทูดำหางแดงที่อาศัยในป่า ก็ถูกจัดว่าเปราะบาง

นักอนุรักษ์กล่าวว่า หากไม่สามารถชะลอจำนวนที่ลดลงได้ ทั้งสามสายพันธุ์มีแนวโน้มจะสูญพันธุ์ภายใน 20 ปี
Four black cockatoos, each with a white patch of feathers on the cheek, sit on the dead branches of a tree.
นกค็อกคาทูคาร์นาบีเป็นหนึ่งในค็อกคาทูดำทั้งสี่สายพันธุ์ของออสเตรเลียที่กำลังต้องเผชิญกับความสูญเสียที่อยู่อาศัย Source: AAP / K Lightbody

ฤดูร้อนแล้งและการสูญเสียถิ่นอาศัย

เวิร์กชอปของเชอร์ริแมนจัดโดยองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Trillion Trees ซึ่งระดมอาสาสมัครหลายสิบคนเพื่อสร้างกล่องรังนกขนาดใหญ่ 11 กล่องสำหรับนกค็อกคาทูดำในเวสเทิร์นออสเตรเลีย

โดยเชอร์ริแมนได้บอกกับ SBS News ว่า รังเหล่านี้เลียนแบบโพรงต้นไม้ตามธรรมชาติของไม้เนื้อแข็งที่นกค็อกคาทูดำใช้ทำรัง

เขาได้แรงบันดาลใจในการออกแบบมาจาก “การปีนต้นไม้ผจญภัยหลายครั้ง” ที่เขาเคยทำในขณะเติบโตในย่าน Perth Hills ช่วงปี 1990 ซึ่งเขาได้ร่วมมือกับนักวิจัยจากพิพิธภัณฑ์ WA (WA Museum) เพื่อทำให้ไอเดียนี้เป็นจริง โดยใช้ขนาดจากโพรงรังนกจริงมาเป็นแบบจำลอง

เขากล่าวว่าประชากรค็อกคาทูดำคาร์นาบีในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 ถึง 30,000 ตัว ในขณะที่สายพันธุ์หางแดงป่ามีประมาณ 10,000 ถึง 12,000 ตัว และสายพันธุ์บอแด็งมีประมาณ 2,000 ถึง 5,000 ตัว

“ก่อนหน้านี้ ประชากรนกป่าเหล่านี้เคยมีมากกว่า 20,000 ตัว และคาร์นาบีอาจเคยมีหลายแสนตัว” เขากล่าว
ค็อกคาทูทั้งสามสายพันธุ์นี้กำลังลดจำนวนประชากรอย่างมีนัยยะสำคัญ
การถางพื้นที่เพื่อจัดเป็นที่อยู่อาศัยและอุตสาหกรรมได้ลดพื้นที่ถิ่นอาศัยและแหล่งอาหารของนกในเวสเทิร์นออสเตรเลีย

หนำซ้ำสภาพอากาศที่แห้งแล้งอย่างรุนแรงในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐช่วงฤดูร้อนปี 2023-2024 ซึ่งส่งผลให้พืชจำนวนมากตายอย่างรวดเร็ว จนเหล่านักวิทยาศาสตร์เปรียบเทียบเหตุการณ์แล้งที่เคยเกิดขึ้นนี้กับการฟอกขาวของปะการังบนบก ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อความสามารถในการหาอาหารของนกด้วย

ในปี 2024 สวนสัตว์เพิร์ธรายงานว่ามีจำนวนนกค็อกคาทูดำที่ถูกนำเข้ามาเพื่อรับการรักษาเพิ่มขึ้น

ตัวเลขสถิติที่นำเสนอต่อรัฐสภาเวสเทิร์นออสเตรเลียเมื่อปีที่แล้วเผยว่า เป็นเวลากว่า 5 เดือนที่สวนสัตว์ต้องดูแลนกค็อกคาทูดำที่ป่วยหรือบาดเจ็บถึง 120 ตัว ซึ่งรวมถึงนกคาร์นาบีที่ผอมแห้ง 42 ตัว และบอแด็งที่ขาดอาหารอีก 2 ตัว

ดั๊ก ลอรี (Doug Laurie) ผู้จัดการฟื้นฟูระบบนิเวศของ Trillion Trees กล่าวว่า “เนื่องจากการสูญเสียถิ่นอาศัยและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความพร้อมของอาหารจึงลดลง”

ความพยายามของชุมชนท้องถิ่นเพื่อช่วยนกค็อกคาทูดำ

ชาวเพิร์ธและภาคตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ได้รับการส่งเสริมให้ปลูกต้นไม้เพื่อสนับสนุนประชากรนกค็อกคาทูดำ ร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ เช่น Carnaby’s Crusaders ที่ได้จัดเวิร์กชอปในย่านต่าง ๆ ของเพิร์ธเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้สำหรับเป็นอาหารนก

แม้ลอรีกล่าวว่าการปลูกไม้พื้นเมือง เช่น ยูคาลิปต์ มารรี (marri) ฮาเคีย (hakea) กรีวิลเลีย (grevillea) แบงค์เซีย (banksia) และจาร์ราห์ (jarrah) ซึ่งนกค็อกคาทูดำใช้เป็นแหล่งอาหารและทำรัง จะช่วยแก้ไขการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพได้ เขาก็แนะนำแนวทางการปลูกแบบผสมร่วมด้วย

“พันธุ์ไม้จากต่างประเทศอย่างพีแคน (pecan) ช่วยเพิ่มผลผลิตที่เป็นอาหารได้เร็วกว่า” เขากล่าว

โดยเขายังเสริมอีกว่าการเข้าถึงน้ำก็เป็นปัญหาสำหรับนกในรัฐนี้ด้วย

แม้ว่าหลายกลุ่มในท้องถิ่นจะสนับสนุนให้ติดตั้งอ่างน้ำนกหรือแหล่งน้ำอื่น ๆ สำหรับนก หน่วยงานท้องถิ่นแห่งหนึ่งก็ได้เลือกแนวทางใหม่ร่วมด้วย โดยการติดตั้งสถานีน้ำดื่มสำหรับนกชื่อ 'Cockitroughs'
สถานีให้น้ำนกค็อกคาทูของเทศบาล Victoria Park หลายจุดได้ถูกติดตั้งอยู่บนเสาสูง 4 เมตร พร้อมระบบบำบัดน้ำเพื่อให้แน่ใจว่าน้ำที่จัดให้จะสะอาดและใหม่อยู่เสมอ ซึ่งขณะนี้ได้มีการติดตั้งสถานีเหล่านี้แล้วในหลายพื้นที่ของรัฐบาลท้องถิ่นในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย

นอกเหนือจากความพยายามในการปรับปรุงแหล่งอาหารและน้ำแล้ว กลุ่มพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินงานภายใต้ชื่อ Save The Black Cockatoos ก็ยังร่วมกันดำเนินการเพื่อยับยั้งการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมของนกค็อกคาทูสีดำทั้งสามสายพันธุ์ในรัฐด้วยเช่นกัน

หนึ่งในโครงการที่กลุ่มดังกล่าวพยายามหยุดยั้ง คือการขยายเหมืองแร่อะลูมิเนียมบอกไซท์บนพื้นที่ป่า Jarrah ขนาด 3,855 เฮกตาร์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนกทั้งสามสายพันธุ์ และเมื่อไม่นานมานี้ก็ได้รับความสนใจจากนักแสดงฮอลลีวูด ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) อีกด้วย

ด้วยแรงกดดันจากสังคมเช่นนี้ ได้ส่งผลให้รัฐบาลรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียต้องยกเลิกแผนเดิมในการตัดไม้จากพื้นที่ปลูกต้นสนขนาด 1,800 เฮกตาร์ในเขตทางตอนเหนือของเมืองเพิร์ธ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่นกคาร์นาบี (Carnaby’s) อยู่อาศัยเพื่อหาอาหารและใช้เป็นที่พักพิงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากในบริเวณดังกล่าวขาดแคลนต้นไม้พื้นเมือง

นกค็อกคาทูสีดำที่ไม่ค่อยแวววาว

นอกจากพื้นที่เวสเทิร์นออสเตรเลียแล้ว ความพยายามในการฟื้นฟูประชากรนกค็อกคาทูสีดำในพื้นที่อื่น ๆ ของออสเตรเลียก็เผชิญกับอุปสรรคเช่นกัน

นกค็อกคาทูสีดำขนเงาบนเกาะแคงการู หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘กลอสซี (glossies)’ นั้น เป็นหนึ่งในนกที่มีความเฉพาะเจาะจงด้านอาหารมากที่สุดในโลก

ในปี 1995 มีนกกลอสซีเหลืออยู่เพียง 200 ตัว และแม้ว่าความพยายามจากโครงการฟื้นฟูนกค็อกคาทู glossy ดำแห่งเกาะแคงการู (Kangaroo Island Glossy Black-cockatoo Recovery Program) จะสามารถเพิ่มจำนวนประชากรขึ้นเป็นสองเท่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่กระบวนการฟื้นฟูก็ได้รับผลกระทบรุนแรงจากไฟป่าช่วง Black Summer ปี 2019–2020

ไฟป่าครั้งนั้นผลาญทำลายพื้นที่ไปถึง 211,474 เฮกตาร์ หรือเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งเกาะ และได้ทำลายแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของนกจำนวนมาก โดยนกเหล่านี้จะกินเฉพาะเมล็ดของต้น drooping sheoak เท่านั้น ซึ่งเป็นสายพันธุ์เฉพาะของ Allocasuarina ที่พบได้บนเกาะแคงการู และต้องใช้เวลาหลายปีในการเจริญเติบโต
Two black birds sitting on a tree branch,
นกค็อกคาทูดำขนเงาหรือ 'กลอสซี' ที่มีจำนวนนับบนเกาะแคงการูน้อยกว่า 500 ตัวในปัจจุบัน Source: Supplied / WWF-Australia / thinkMammoth
บางพื้นที่ของพืชพันธุ์ดังกล่าว อาจฟื้นฟูได้จากเมล็ดภายใน 15 ปีข้างหน้า และองค์กร Greening Australia กับกองทุนสัตว์ป่าโลกแห่งออสเตรเลีย (WWF Australia) ก็ได้ร่วมกันปลูกกล้าต้นไม้หลังเหตุการณ์ไฟไหม้ เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟูถิ่นที่อยู่อาศัยในอนาคต

โดยเมื่อไม่นานมานี้ ในปี 2023 ทั้งสององค์กรกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง โดยได้ทำการปลูกไปมากกว่า 19,000 ต้น ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งนกค็อกคาทูจะกลับมาสู่แผ่นดินใหญ่อีกครั้ง

แต่กระบวนการฟื้นฟูน่าจะเป็นไปอย่างช้า ๆ

รายงานสำรวจประชากรในเดือนพฤศจิกายน 2023 ของนกค็อกคาทูดำขนเองบนเกาะแคงการู ได้มีการระบุว่ามีการนับจำนวนนกได้อย่างน้อย 453 ตัว

และในรายงานยังระบุว่า อาจต้องใช้เวลา “ประมาณ 15–20 ปี เพื่อให้ป่าไม้ที่ถูกไฟไหม้สามารถฟื้นตัวและเริ่มผลิตเมล็ดจากต้น drooping sheoak ได้”
มีแนวโน้มที่ค็อกคาทูดำขนเงาหรือ 'กลอสซี' กำลังขาดแคลนที่อยู่อาศัยพร้อมแหล่งอาหารในอีกหลายปีข้างหน้า อันเป็นผลกระทบจากไฟป่าครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน
Three men standing on hilly farming land which is covered in plastic shields protecting small seedlings
WWF Australia และ Greening Australia ร่วมมือกันเพื่อเพิ่มจำนวนต้น sheoaks บนเกาะแคงการูในเซาท์ออสเตรเลีย เพื่อหวังว่าวันนึงจะช่วยเพิ่มจำนวนค็อกคาทูดำขนเงาในพื้นที่ Source: Supplied / Quentin Jones/© WWF-Australia / thinkMammoth

นกค็อกคาทูในศาล

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา องค์กร Wilderness Society ได้ยื่นฟ้องรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม ทันยา พลิบบีเซก (Tanya Plibersek) โดยกล่าวหาว่าเธอล้มเหลวในการจัดทำและรักษาแผนฟื้นฟูที่กำหนดโดยกฎหมายสำหรับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์

โดยนกค็อกคาทูสีดำทั้งสามสายพันธุ์พื้นเมืองของเวสเทิร์นออสเตรเลียนั้นได้ถูกระบุไว้ในใน 11 สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้องในคดีฟ้องร้องนี้

ทางองค์กร Wilderness Society กล่าวกับ SBS News ว่าอาจมีสัตว์สายพันธุ์อื่น ๆ อีกหลายร้อยสายพันธุ์ที่แผนฟื้นฟูหมดอายุแล้ว แต่พวกเขาเลือกหยิบยกสัตว์บางชนิดมาใช้เป็นตัวอย่างในคดีนี้

ในขณะที่แผนฟื้นฟูนกกลอสซี ที่จัดทำขึ้นในปี 2005 เดิมทีมีระยะเวลาไปจนถึงปี 2010 แต่จากรายงานที่เผยแพร่บนเว็บไซต์ของกรมสิ่งแวดล้อมแห่งสหพันธ์รัฐบาล พบว่าแผนดังกล่าวยังไม่เคยได้รับการปรับปรุงในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งหมายความว่า แผนที่ใช้อยู่ในปัจจุบันไม่ได้คำนึงถึงการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยล่าสุดและความท้าทายอื่น ๆ ที่เหล่านกกลอสซีบนเกาะแคงการูต้องเผชิญอยู่
ทางด้านโฆษกของรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมไม่ได้ตอบคำถามของ SBS News ว่าแผนฟื้นฟูที่มีอยู่หมดอายุแล้วหรือไม่ แต่ระบุว่ากำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุงแผนใหม่

โฆษกยังกล่าวอีกด้วยว่า รัฐบาลอัลบาเนซี “ได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการหลายโครงการเพื่อช่วยฟื้นฟูนกค็อกคาทูสีดำในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย”

ส่วนทางด้านโฆษกของรัฐบาลรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ได้มีการกล่าวในแถลงการณ์ว่า กรมความหลากหลายทางชีวภาพ การอนุรักษ์ และแหล่งท่องเที่ยว (DBCA) กำลังทำงานร่วมกับรัฐบาลกลางเพื่อพัฒนาแผนฟื้นฟูใหม่สำหรับนกค็อกคาทูสามสายพันธุ์ในรัฐ

“รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์นกค็อกคาทูสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย โดยอิงจากคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ” โฆษกระบุ

“DBCA ยังคงพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อนกค็อกคาทูสีดำในเวสเทิร์นออสเตรเลียและแนวทางการรับมือที่เป็นไปได้”

Share

Published

By Aleisha Orr
Presented by Wanvida Jiralertpaiboon
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand