สังคมไร้เงินสดใกล้แค่เอื้อม? หวั่นคนเปราะบางถูกทิ้งไว้ข้างหลัง กลุ่มเคลื่อนไหวชวนถอนเงินพร้อมกันวันนี้

กลุ่มผู้สนับสนุนการใช้เงินสดในออสเตรเลียออกมาเชิญชวนให้ประชาชนร่วมกันถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในวันอังคารนี้ (22 เม.ย.) เพื่อแสดงพลังว่ายังมีคนใช้เงินสดอยู่ และช่วยให้การใช้เหรียญและธนบัตรยังคงมีบทบาทในระบบเศรษฐกิจต่อไป

A hand holding $20 currency notes next to an ATM.

กระทรวงการคลังออสเตรเลียระบุว่า มีชาวออสเตรเลียประมาณ 1.5 ล้านคนที่ใช้เงินสดในการชำระเงิน (in-person payments) มากกว่า 80% ของการทำธุรกรรมทั้งหมดของพวกเขา4o Source: AAP / Jono Searle

เจสัน ไบรซ์ สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในการลดการใช้เงินสด ในช่วงโควิด-19 เพราะธนาคารสาขาใกล้บ้านของเขาปิดตัวลง

พร้อมกับตู้เอทีเอ็ม 3 จุดที่ถูกถอดออกไป และซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้บ้านก็หยุดรับเงินสดชั่วคราว

“บัตรเครดิตก็โฆษณาว่าเงินสดไม่สะอาด ผู้คนก็พูดกันว่า ‘เราต้องไม่ใช้เงินสดแล้ว’” ไบรซ์เล่าให้ SBS News ฟัง

“มันทำให้การใช้เงินสดลดลงอย่างมาก จนดูเหมือนว่าเรากำลังจะเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเลี่ยงไม่ได้”


การที่ใช้เงินสดในชีวิตประจำวันยากขึ้น เป็นแรงบันดาลใจให้เจสัน ไบรซ์ ก่อตั้งกลุ่ม “Cash Welcome” เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนหันมาใช้เงินสด เพื่อให้ทางเลือกนี้ยังคงอยู่ต่อไป

กลุ่มนี้ได้จัดแคมเปญระดับประเทศในวันอังคารนี้ (22 เมษายน) โดยชวนให้ประชาชนไปถอนเงินสด เพื่อ "เป็นสัญลักษณ์เตือนให้รัฐบาลและสถาบันการเงินทราบว่าเงินสดยังสำคัญต่อชาวออสเตรเลีย”

“ถ้ามีเงินสดติดไว้ในกระเป๋า คุณสามารถซื้อของได้เมื่อจำเป็น โดยเฉพาะการร่วมมือกันถอนเงินสดในวันอังคารนี้ จะเป็นการโหวตต้านกระแส ‘ออสเตรเลียไร้เงินสด’” ไบรซ์กล่าว

สังคมไร้เงินสด หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงหรือ?

แม้ว่าจะมีประชาชนราว 1.5 ล้านคนในออสเตรเลียที่ยังใช้เงินสดเป็นหลักในการซื้อของทุกวัน
แต่การใช้เงินสดกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังช่วงโควิด-19

ข้อมูลจากธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ระบุว่า ระหว่างปี 2019 -2022 สัดส่วนการใช้เงินสดในการทำธุรกรรมหน้าร้านลดลงจาก 32% เหลือเพียง 16%

แม้จะไม่มีรายงานฉบับใหม่จาก RBA ในปีนี้ แต่รายงานจากแหล่งอื่น ๆ คาดว่า ภายในปี 2030 เงินสดจะเหลือเพียง 7% ของมูลค่าการใช้จ่ายหน้าร้าน จากปัจจุบันที่อยู่ที่ประมาณ 10%
A graphic showing data on the share of transactions by credit card, debit and cash.
รายงานจากผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน Worldpay ระบุว่า วิธีการชำระเงินที่ชาวออสเตรเลียนิยมมากที่สุดคือการใช้บัตรเติมเงินหรือบัตรเดบิต Source: SBS
ตัวเลขนี้มาจากรายงานฉบับใหม่ของ Worldpay ซึ่งเป็นผู้ให้บริการระบบการชำระเงินระดับโลก ระบุว่าชาวออสเตรเลียยังนิยมใช้บัตรเติมเงินหรือบัตรเดบิตในการชำระเงินมากที่สุดในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้จัดทำรายงานคาดว่าในเร็ว ๆ นี้ “กระเป๋าเงินดิจิทัล” จะกลายเป็นวิธีการชำระเงินที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยจะครองส่วนแบ่งมากกว่าครึ่งของมูลค่าการทำธุรกรรมออนไลน์ และ 38% ของการใช้จ่ายหน้าร้าน

รายงานระบุว่า “สัดส่วนการใช้เงินสดในการจับจ่ายหน้าร้านลดลงมากกว่าสองในสาม ระหว่างปี 2014 - 2024 แต่การออกมาใช้เงินสดในออสเตรเลียถือเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิ์ของประชาชน”
A graphic showing data of how many transactions are conducted online on credit card, debit and cash.
รายงานจากผู้ให้บริการระบบการชำระเงิน Worldpay ระบุว่า ชาวออสเตรเลียส่วนใหญ่เลือกใช้บัตรเดบิตหรือวิธีแบบเติมเงินในการซื้อสินค้าออนไลน์ ขณะที่บัตรเครดิตเป็นตัวเลือกอันดับรองลงมาอย่างใกล้เคียง Source: SBS
การปิดให้บริการของตู้เอทีเอ็ม ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การใช้เงินสดลดลง

แองเจล จง รองศาสตราจารย์ด้านการเงินจากมหาวิทยาลัย RMIT มองว่า ภายในปี 2030 ออสเตรเลียจะกลายเป็น “สังคมไร้เงินสดในทางปฏิบัติ”

“ซึ่งมันจะหมายความว่า การชำระเงินส่วนใหญ่จะเป็นแบบดิจิทัล แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถใช้เงินสดได้” เธอกล่าวกับ SBS News

“ดังนั้นฉันคิดว่าผู้คนไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกกับการเปลี่ยนผ่านนี้ เพราะเราไม่ได้พูดถึง ‘สังคมไร้เงินสดโดยสมบูรณ์’ แต่เป็น ‘สังคมไร้เงินสดในทางปฏิบัติ’ ต่างหาก”

ขณะที่เมื่อต้นปีนี้ ผู้ว่าการธนาคารกลางออสเตรเลีย มิเชล บูลล็อก ก็เคยกล่าวว่า เงินสดจะ “ยังคงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อย 10 ปี”

มาดูประเทศอื่นๆ ว่าพวกเขามีมาตรการรักษาการใช้เงินสดอย่างไร

ในสหราชอาณาจักร ปัจจุบันมีจุดถอนเงินสดฟรีที่เข้าถึงได้ง่าย โดยที่ 99.3% ของประชาชนในเขตเมืองจะอยู่ในระยะไม่เกิน 1.6 กิโลเมตรจากจุดถอนเงิน ส่วนในเขตชนบท ตัวเลขนี้อยู่ที่ 98.7%

บางประเทศ เช่น สเปน ฝรั่งเศส นอร์เวย์ เดนมาร์ก รวมถึงบางรัฐในสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายบังคับให้ร้านค้าต้องรับเงินสดในการชำระเงิน

เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลกลางออสเตรเลียประกาศว่าจะดำเนินมาตรการคล้ายกัน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2026 ซึ่งจะบังคับให้ธุรกิจที่จำหน่าย “สินค้าและบริการจำเป็น” ต้องรับชำระเงินด้วยเงินสด อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุรายละเอียดชัดเจนว่าธุรกิจประเภทใดบ้างที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับนี้

แองเจล จง กล่าวว่า

“ด้วยมาตรการของรัฐบาล ฉันคิดว่าออสเตรเลียอยู่ในจุดที่สมดุลดีแล้ว... เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงระบบการเงินได้”

“หมายถึงคนที่ยังอยากใช้เงินสด ก็ยังสามารถใช้ได้”

นอกจากนี้ มาตรการเดียวกันยังรวมถึงการยุติการใช้เช็ก (cheque) โดยจะหยุดการออกเช็กตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2028 และจะไม่รับเช็กอีกต่อไปตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2029
A graphic showing how Australia compares to Asian neighbours on payment methods.
ตามรายงานของ Worldpay Global Payments แม้ออสเตรเลียกำลังมุ่งหน้าสู่สังคมไร้เงินสด แต่การใช้เงินสดในประเทศยังถือว่าสูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย ที่มีการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบชำระเงินดิจิทัลอย่างชัดเจนมากกว่า Source: SBS

ทำไมบางคนยังชอบใช้เงินสด?

ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่แพง ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัว และความเชื่อถือได้ในกรณีระบบล่ม เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนยังคงเลือกใช้เงินสด

โดยที่มีเหตุการณ์เมื่อปีที่แล้ว ผู้ใช้บริการที่ซูเปอร์มาร์เก็ต Coles และ Woolworths จำนวนมากไม่สามารถชำระเงินได้ เนื่องจากเหตุการณ์ระบบล่มจาก CrowdStrike

“เหตุการณ์นั้น รวมถึงกรณีอื่น ๆ อย่างการล่มของระบบ Optus สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบชำระเงินดิจิทัล” แองเจล จง กล่าว

สำหรับเจสัน ไบรซ์ เหตุการณ์ที่ Optus ขัดข้องยิ่งเน้นย้ำให้เห็นว่า การพกเงินสดติดตัวไว้ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ
A graph showing how the number of bank branches and ATMs has fallen in Australia.
กราฟแสดงจำนวนสาขาธนาคารและตู้เอทีเอ็มในออสเตรเลียที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง Source: SBS
“ผมขึ้นรถไฟไม่ได้ จ่ายเงินก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้พกเงินสดติดตัวเลย” ไบรซ์เล่า

“และผมคิดว่าหลายคนในออสเตรเลียเริ่มตระหนักแล้วว่า เราไม่ควรปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีธนบัตรสักใบในกระเป๋า ไม่ว่าจะเป็นแบงก์ 50 หรือ 20 ดอลลาร์ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

แม้ว่าการใช้เงินสดเพื่อซื้อของจะค่อย ๆ ลดลง แต่ที่น่าสนใจคือ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ความต้องการใช้ธนบัตรกลับพุ่งสูงขึ้น

ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ระบุว่า มูลค่าธนบัตรที่หมุนเวียนในระบบเพิ่มขึ้นถึง 22% หรือประมาณ 19,000 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 จนถึงจุดสูงสุดในเดือนธันวาคม 2022

ทาง RBA วิเคราะห์ว่า ธนบัตรเหล่านี้ถูกเก็บสะสมไว้เพื่อรักษามูลค่า หรือเป็นเงินสำรองในยามฉุกเฉิน


 ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

By Rashida Yosufzai
Presented by Chayada Powell
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand