ธัญญา (นามสมมติ) เล่าประสบการณ์ให้เอสบีเอสไทยฟังว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับสามีเริ่มต้นจากรักทางไกล เธอยังทำงานอยู่ที่ประเทศไทย ส่วนเขาทำงานอยู่ออสเตรเลีย อาศัยเดินทางไปมาหากันอยู่แรมปี เมื่อธัญญาพบว่าตัวเองตั้งท้อง ทั้งคู่จึงตัดสินใจให้ธัญญาย้ายถิ่นฐานมาสร้างครอบครัวที่ออสเตรเลียเป็นการถาวร
ตอนนั้นธัญญาอายุสามสิบต้น เธอคลอดลูกชายที่ออสเตรเลียและกลายเป็นคุณแม่เต็มเวลา เนื่องจากสามีที่ทำงานในอุตสาหกรรมเหมืองมีตารางงานที่ทำให้เขาต้องเดินทางไกลบ้านครั้งละหลายสัปดาห์ ธัญญาจึงรับหน้าที่ดูแลลูกคนเดียวขณะที่สามีไม่อยู่
สถานการณ์ของเธอไม่ต่างจากคนไทยคนอื่นๆ ที่ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ออสเตรเลียโดยไม่มีเครือข่ายญาติพี่น้องหรือเพื่อนฝูงที่คอยช่วยเหลือตอนลูกยังแบเบาะ
“ไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีใครใดๆ ไม่มีปู่ย่า ไม่มีอะไรที่นี่เลย ย่าก็อยู่อีกเมืองนึง เราไม่ได้รับความช่วยเหลือจากใครเลย เรามีแค่ผัวเมียเราแค่นั้น” ธัญญาเล่า
อีกเกือบสองปีหลังให้กำเนิดลูกชาย ธัญญาพบว่าเธอตั้งครรภ์ท้องที่สองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เราก็ไปผับ ไปเที่ยวไทยกัน มันเป็นช่วงฮอลิเดย์อ่ะเนอะ ก็ปรากฏว่ากินยาคุมผิด กินผิดนะ ไม่ได้ลืมกิน เหมือนกินข้ามเม็ดไป เราก็เลยย้อนกลับมากินอีก ไม่มีอะไรผิดพลาดไปมากกว่านั้นเลย”
กรณีของธัญญาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แม้ว่าวิธีการคุมกำเนิดจะมีให้เลือกหลากหลายในปัจจุบันและมีประสิทธิภาพสูง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่การคุมกำเนิดอาจผิดพลาด แม้จะใช้งานถูกต้องตามคู่มือและคำแนะนำของวิธีคุมกำเนิดแต่ละประเภท
ข้อมูลจากสายด่วนปรึกษาท้องไม่พร้อม หรือ 1663 ของประเทศไทย ก็ระบุว่า ร้อยละ 60 ของผู้รับบริการยุติการตั้งครรภ์ เป็นผู้ที่คุมกำเนิดอยู่แต่เดิม
ธัญญาเปิดใจว่าเธอรู้ตัวตั้งแต่แรกว่าเธอไม่อยากมีลูกคนที่สอง
“แค่รู้ว่าท้องก็ไม่เอาแล้ว เพราะว่าเข็ดกับการเลี้ยงลูกคนเดียวที่นี่” เธอยอมรับ “ถ้าอยู่ไทยคนนี้เขาอาจจะมีชีวิตอยู่ก็ได้ เพราะเรามีเพื่อน มีครอบครัว มีแม่คอยช่วยเรา แต่ที่นี่เราไม่มีใคร ก็เลยบอกกับตัวเองว่าจะไม่มี [ลูก] อีกแล้ว พอมีคนที่สองเกิดขึ้น คำตอบแรกเลยคือไม่เอา”
ในฐานะของแม่ลูกหนึ่งที่เป็นผู้ย้ายถิ่นฐานรุ่นแรกจากประเทศไทย ธัญญารู้ซึ้งว่าการเลี้ยงลูกโดยไม่มีครอบครัวช่วยเหลือนั้นลำบากกว่าที่หลายคนคิด
“แฟนก็ไม่ได้อยากมีแต่ก็ไม่ได้อยากให้ทำ [แท้ง] เขามีความสับสน เผื่อเราได้ลูกสาวอีกคนนึงเพราะลูกคนแรกเป็นผู้ชาย” ธัญญาอธิบายมุมมองของสามี “เขาคิดว่าเขาเป็นคนหาเงิน เวลาเขากลับมาบ้านเขาก็จะใช้เวลาของเขาในการพักผ่อนมากกว่าช่วยเราดูลูก ซึ่งเราก็เข้าใจ มันไม่ค่อยเต็มร้อยในการดูแลลูก มันกลายเป็นเราคนเดียว เราเริ่มอยากมีอิสระแบบแฟนบ้างเวลาแฟนกลับมา เธอแค่ทำงาน เธอเหนื่อย เธอนอนเธอก็หาย แต่ฉันไม่ได้นอนมากี่ปี”
ข้อมูลจากคลินิกทำแท้งเอกชน Gynaecology Centres Australia หรือ ศูนย์นรีเวชวิทยาที่ ให้บริการทำแท้งทั่วออสเตรเลีย ระบุว่าผู้หญิงที่มีลูกแล้ว มีแนวโน้มจะเข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์มากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูกเลย
“เราต้องตัดสินใจเองละ เพราะว่าเราเป็นคนอุ้มท้อง เราเป็นคนเลี้ยง เราเป็นคนที่เหนื่อยที่สุด เราเป็นคนที่รับสภาวะจิตใจความเครียดมากที่สุด มันก็ต้องเป็นเราที่ตัดสินใจเอง”ธัญญาเล่า
ธัญญาตอบเสียงชัดว่าเธอ “โล่งใจ” เป็นอย่างมากหลังการทำแท้งเสร็จสมบูรณ์ เธอเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าการยุติการตั้งครรภ์ในตอนนั้นคือหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ
จริงอยู่ที่ในฐานะคนไทย ธัญญาก็คุ้นเคยกับศาสนาพุทธ และแนวคิดความเชื่อที่ว่าการทำแท้งเป็นบาป และหลายครั้งสื่อและคนในสังคมไทยก็มักตีตราว่าผู้หญิงที่ทำแท้งนั้นเป็นคนไม่ดี ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นคนเห็นแก่ตัว
แต่ธัญญาอธิบายอย่างน่าสนใจว่าการตัดสินใจทำแท้งของเธอคือการให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจของตัวเองเป็นหลัก และถ้าหากว่าเธอไม่มีความพร้อมด้านร่างกายและจิตใจจะดูแลครอบครัว เธอก็เลี้ยงลูกเล็กคนที่สองไม่ไหวอยู่ดี
“เราต้องรักตัวเราเองก่อน สุขภาพจิตเราต้องสำคัญก่อนที่จะดูแลใครสักคนเรา รู้สภาพจิตใจตัวเอง ถึงจะต้องทำแบบนั้น"
นีน่า (นามสมมติ) มาออสเตรเลียด้วยวีซ่านักเรียน แต่นอกจากเรียนหนังสือแล้ว เมื่อห้าปีก่อนนีน่ายังต้องทำงานเยอะถึง 6-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อหาเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน และหาเงินส่งกลับไทยในฐานะเสาหลักของครอบครัว
เธอเท้าความไปว่าตอนนั้นเธอเพิ่งคบกับแฟนได้ไม่นานและยังไม่ได้ใช้เวลาศึกษาดูใจกันมากพอ แต่ก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าท้องก็จะทำงานไม่ได้ ถ้าไม่ไปทำงานก็ไม่มีเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งทางบ้าน เอาเงินไหนมาเลี้ยงลูก” นีน่าอธิบาย “เราตรวจครรภ์พร้อมกันกับแฟน พอรู้ผลแฟนก็เข้ามากอด ไม่รู้ดีใจหรือเสียใจ แต่เขาก็ให้เราตัดสินใจร้อยเปอร์เซ็นต์”
ความกังวลหลักของนีน่าคือเธอยังไม่มีความมั่นคงด้านการเงิน ยังไม่มีที่อยู่อาศัยถาวร อีกทั้งแม่ของเธอล้มป่วยและเสียชีวิต ก่อนที่เธอทราบว่าตัวเองท้องเพียงไม่กี่เดือนก่อนหน้า
ทั้งสถานการณ์ทางการเงิน ความเหนื่อยล้าจากการทำงาน ความเศร้าจากเหตุสูญเสียคุณแม่ อีกทั้งยังต้องตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ นีน่าเล่าว่าเธอมีอาการซึมเศร้าในที่สุด
“เราคิดว่าเราหมดห่วงจากแม่ไปแล้วเราต้องมีห่วงเพิ่มจากเด็กที่เพิ่งเกิดมาในช่วงที่เราไม่พร้อม เราเห็นเด็กหลายคนไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่ดี กลายเป็นภาระของสังคม [...] ไม่เหมาะจะให้คนๆ นึงเกิดมาเจอความลำบากเพราะความไม่พร้อมของผู้ใหญ่ไม่มีเงิน” นีน่ากล่าว
ด้วยสถานการณ์ที่กดดันทำให้นีน่าเลือกรับบริการยุติการตั้งครรภ์ที่คลินิกเอกชนแห่งหนึ่งในรัฐนิวเซ้าธ์เวลส์ เธอเล่าว่าเธอไม่มีบัตรเมดิแคร์ ทำให้ต้องใช้ประกันสุขภาพที่มีซึ่งครอบคลุมค่าใช้จ่ายเพียงครึ่งเดียว ในครั้งนั้นนีน่าบอกว่าค่าธรรมเนียมทั้งหมดตกประมาณ 700-800 เหรียญ
ตัวเลขจากองค์กรเอ็มเอสไอออสเตรเลีย (MSI Australia) จากปี 2023 เผยว่าผู้ที่รับบริการทำแท้งจากคลินิกเครือข่ายกว่าร้อยละ 85 ระบุว่าพวกเธอต้องการยุติการตั้งครรภ์เนื่องจากมีปัญหาด้านการเงิน ยังมีคนอีกมากที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับนีน่าเมื่อห้าปีก่อน
การทำแท้งที่คลินิกเอกชนในออสเตรเลียนั้นมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย โดยเฉพาะในกรณีที่คนไข้ไม่มีบัตรเมดิแคร์ ค่าใช้จ่ายจะขึ้นอยู่กับประเภทของวิธีทำแท้งและอายุครรภ์ โดยเริ่มจากการทำแท้งด้วยวิธีกินยา การทำแท้งด้วยวิธีหัตถการหรือที่เรียกว่าการดูดมดลูก และการทำแท้งด้วยวิธีผ่าตัด ตามลำดับซึ่งค่าบริการอาจเริ่มตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักหลายพันดอลลาร์ออสเตรเลีย
แพม (นามสมมติ) ตัดสินใจพูดคุยกับเอสบีเอสไทยที่นครเมลเบิร์น เธอเป็นผู้หญิงไทยวัยสามสิบ ที่ยังคงค้นหาคำตอบว่าตัวเองต้องการเป็นแม่คนหรือไม่
ทั้งแพมและสามีย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ออสเตรเลียในช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาด ขณะนั้นทั้งสองคนถือวีซ่านักเรียน และเปลี่ยนมาเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรในที่สุด
เธอเล่าว่าเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นแพมยังอยู่ในวัยที่สนุกกับการทำงานที่กรุงเทพฯ เธอและสามีมีแผนไปเรียนต่อต่างประเทศ และหาลู่ทางย้ายถิ่นฐานไปในเวลาเดียวกัน การมีลูกจึงยังไม่ใช่ความสำคัญอันดับแรกๆ ในความสัมพันธ์ของทั้งคู่
“ตอนนั้นถามว่ายังคุมกำเนิดไหม ก็ยังคุม แต่ว่าเราเป็นคนที่กินยาคุมแล้วรู้สึกฮอร์โมนแปรปรวน เพราะงั้นเราก็จะคุมอยู่วิธีเดียวคือการใส่ถุงยาง”
แพมเล่าว่าสามีของเธออยากมีลูกมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกทั้งทั้งคู่ก็มีความพร้อมด้านการเงิน มีครอบครัวที่พร้อมสนับสนุน แต่ในขณะนั้นแพมยังมีหน้าที่การงาน ที่เธอทุ่มเทเวลาให้เป็นหลัก การมีลูกอาจเปลี่ยนชีวิตเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือ
“แต่ตอนนั้นที่มาอ่ะ คือรู้สึกว่ายังไม่พร้อม ด้วยหน้าที่การงานมากกว่า ฉันยังอยากใช้ชีวิตแบบเดิมอยู่ พอรู้ปุ๊บก็ตัดสินใจเลยว่าเอาออก”
ข้อมูลจากรายงานในไทยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานบริการทำแท้งปลอดภัยเพียง 133 แห่งใน 51 จังหวัด โดยแบ่งเป็นบริการของรัฐ 92 แห่งและเอกชน 41 แห่ง นับว่าเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนของผู้ที่เข้ารับบริการยุติการตั้งครรภ์
เมื่อต้นปีสายด่วนปรึกษาท้องไม่พร้อมเปิดเผยว่าในรอบสี่ปีที่ผ่านมา มีสายโทรปรึกษาท้องไม่พร้อมในไทยกว่า 1.8 แสนคนและมีผู้ตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ถึง 1.4 แสนคน
แพมเท้าความว่าเมื่อห้าปีที่แล้ว คลินิกให้บริการทำแท้งในกรุงเทพฯ นั้นมีเพียงไม่กี่แห่งที่ทำอย่างเปิดเผยและถูกกฎหมาย สำหรับโรงพยาบาลหลายแห่ง คนไข้จะยุติการตั้งครรภ์ได้ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขบางประการ เช่น ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ตัวอ่อนในครรภ์มีความผิดปกติ ผู้ตั้งครรภ์มีความเสี่ยงทางร่างกายหรือจิตใจ เป็นต้น ทำให้ผู้ที่ต้องการทำแท้งต้องมองหาบริการจากคลินิกเถื่อน หรือซื้อยามารับประทานเพื่อทำแท้งด้วยตัวเอง ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายได้
คลินิกที่แพมรับบริการทำแท้งนั้นมีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของเครือข่ายอาสา (Referral System for Safe Abortion : RSA) แม้ว่าจะผ่านมาแล้วกว่าห้าปี แต่แพมยังจำได้ดีว่าเจ้าหน้าที่ของคลินิกนั้นสร้างบาดแผลทางใจให้เธออย่างไร
หลังจากแจ้งเจ้าหน้าที่คัดกรองคนไข้ไปว่าแพมต้องการทำแท้ง เนื่องจากยังอยากทำงานเต็มเวลา เธอกลับได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ว่าเหตุผลของเธอนั้นเล็กน้อย และยังถูกถามซ้ำว่าเธอคิดดีแล้วหรือว่าจะตัดสินใจทำแท้ง
แพมยังเล่าต่อว่าแพทย์ประจำคลินิกใช้วิธีการดูดมดลูกเพื่อยุติการตั้งครรภ์ให้เธอ แต่ระหว่างทำหัตถการแพมทนความเจ็บไม่ไหว ตลอดกระบวนการแพมไม่ได้รับการดูแลทางจิตใจหรือคำแนะนำจากแพทย์และพยาบาลเลย มิหนำซ้ำแพทย์ผู้เป็นคนทำหัตถการยังแสดงอาการเหน็ดหน่ายเมื่อแพมทนความเจ็บไม่ไหว สุดท้ายการทำแท้งจึงไม่สมบูรณ์ แพมได้รับยาให้รับประทานเองที่บ้านวันถัดไปเพื่อให้แน่ใจว่าการแท้งจะเสร็จสมบูรณ์
“เราฝังใจ (traumatised) กับสิ่งที่เกิดขึ้นต่ออีกหลายเดือน เพราะเราจะรู้สึกเจ็บแปล๊บๆ ตรงท้องแล้วคิดว่าหรือข้างในมันมีปัญหา ข้างในมันเป็นแผลหรือเปล่า อย่างน้อยๆ สองสามเดือนเราก็วิ่งเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายรอบเพื่อที่จะไปเช็ค อยากตรวจภายใน รู้สึกว่าชอบเจ็บตรงนี้ แล้วทุกรอบเราก็จะเปลี่ยนหมอไปเรื่อยๆ หมอก็จะบอกว่าปกตินะคะ ไม่มีอะไร ตรงที่เราเจ็บมันไม่มีอะไร ก็เลยตระหนักได้ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องเจ็บปวดฝังใจ (trauma) ภายใต้จิตใจอ่ะ เราอาจจะผ่านอะไรที่มันเจ็บปวดมา เราก็เลยคิดเอาเองว่าเราเจ็บตรงนั้น หลังจากนั้นเราก็ไม่เจ็บอีกเลย”

ดร.เชลลี แม็คเลฟ นักวิชาการด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ จากสถาบันประชากรและสาธารณสุขโลก มหาวิทยาลัย University of Melbourne Source: Supplied / Dr Shelly Makleff Source: Supplied / Supplied by Dr Shelly Makleff
ในบทสนทนาว่าด้วยการทำแท้ง เราปฏิเสธไม่ได้ว่าบริบทสังคมไทยยังคงตีตราผู้หญิงที่ทำแท้งอยู่ไม่น้อย แม้ว่าการทำแท้งจะถูกกฎหมายและจะมีผู้หญิงมากมายที่เลือกยุติการตั้งครรภ์ก็ตาม
จริงอยู่ที่ประสบการณ์ทางการแพทย์เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องเปราะบาง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพูดเรื่องทำแท้ง โดยเฉพาะการบอกเล่าประสบการณ์ส่วนตัว ยังคงมีจำกัดมากหากเทียบกับการแบ่งปันประสบการณ์ทางการแพทย์อื่นๆ
เอสบีเอสไทยได้สัมภาษณ์ ดร.เชลลี แมคเลฟ นักวิชาการด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ จากสถาบันประชากรและสาธารณสุขโลก มหาวิทยาลัย University of Melbourne
เธอวิเคราะห์ว่าผู้ที่เคยทำแท้งรู้มักรู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกไม่กล้าพูดถึงเรื่องดังกล่าวกับผู้อื่น การที่สังคมหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงการทำแท้งนี่เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างอคติให้กับการทำแท้ง
“ตั้งแต่เด็กเราได้เรียนเรื่องสุขภาวะในโรงเรียน เราได้เรียนเรื่องการคุมกำเนิด เรื่องการยินยอมมีเซ็กส์ แต่เราแทบไม่เคยสอนเรื่องการทำแท้งในระบบการศึกษาเลย แค่นี้ก็บ่งบอกแล้วว่าการทำแท้งเป็นเรื่องที่เราไม่ควรพูดถึง”ดร.เชลลีกล่าว
อีกปัจจัยหนึ่งที่สร้างอคติและตีตราผู้ที่เคยทำแท้งก็คือค่านิยมของสังคมที่มีต่อผู้หญิง ดร.เชลลีชี้ว่าสังคมมักคาดหวังให้ผู้หญิงมีสัญชาติญาณความเป็นแม่ คาดหวังให้ผู้หญิงมีลูกและต้องดูแลใส่ใจคนรอบข้าง และถ้าหากผู้หญิงเหล่านี้ทำตามความคาดหวังของสังคมไม่ได้ พวกเธอก็จะถูกตีตราและด้อยค่า
ดร.เชลลีให้ความเห็นว่าการทำแท้งในออสเตรเลียนั้นปลอดภัยและถูกกฎหมาย แต่สำหรับคนที่มาจากชุมชนผู้อพยพหรือผู้ลี้ภัย โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีบัตรเมดิแคร์ การเข้าถึงบริการทำแท้งนั้นยังมีอุปสรรคหลายด้าน พวกเขาจะต้องหันไปเลือกรับบริการจากคลินิกเอกชนที่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าหลายเท่า อย่างเช่นในกรณีของนีน่า
“ฉันคิดว่ากำแพงภาษาก็เป็นปัญหาเช่นกัน เราไม่มีล่ามรองรับ ไม่มีระบบขนส่งสาธารณะที่ครอบคลุมมากพอ อีกทั้งผู้อพยพก็มักจะไม่คุ้นเคยกับระบบสาธารณสุข (ของออสเตรเลีย) ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ผู้อพยพและผู้ลี้ภัยเข้าถึงการทำแท้งได้ยาก” ดร.เชลลีอธิาย
ในออสเตรเลียมีแพทย์ทั่วไปที่สามารถจ่ายยาทำแท้งได้เพียงร้อยละสิบเท่านั้น อีกทั้งบริการทำแท้งมักกระจุกอยู่ที่เมืองใหญ่ การเข้าถึงบริการทำแท้งในชุมชนห่างไกลจึงยังเป็นเรื่องยาก
ดร.เชลลีเสนอว่าการทำแท้งควรมีบริการในโรงพยาบาลรัฐทั่วไป หากสังเกตดูจะพบว่าโรงพยาบาลเหล่านี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลและส่วนกลาง ดังนั้นการทำแท้งก็ควรเป็นบริการปกติ หากโรงพยาบาลทุกแห่งมีเครื่องเอกซ์เรย์ โรงพยาบาลก็ควรมีเจ้าหน้าที่ที่พร้อมให้บริการคนไข้ที่ต้องการยุติการตั้งครรภ์เช่นกัน
“ฉันคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยคือเจ้าหน้าที่แพทย์ต้องเข้าใจว่าหากคนไข้ถูกปฏิเสธไม่ให้รับบริการทำแท้ง ผลกระทบที่ตามมาจะเป็นอย่างไร คนไข้จะวิตกกังวล จะทำนัดแพทย์ก็ถูกเลื่อนไปอีก และถ้าหากช้าเกินไป คนไข้ก็อาจจะยุติการตั้งครรภ์ด้วยวิธีรับประทานยาไม่ได้ เพราะอายุครรภ์เกิน 63 วัน ต้องเลือกทำแท้งด้วยหัตถการหรือวิธีผ่าตัด หรืออาจยุติการตั้งครรภ์ไม่ทันไปเลย”
ดร.เชลลีอ้างอิงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา ชื่อว่า "The Turnaway Study" ซึ่งศึกษากรณีว่าถ้าหากผู้หญิงถูกปฏิเสธไม่ให้รับบริการทำแท้ง จะมีผลกระทบด้านจิตใจ ด้านร่างกาย และด้านเศรษฐกิจ ตามมาอย่างไร
ผลการวิจัยระบุว่าในบรรดาผู้หญิงที่เข้าร่วมทั้งหมดหนึ่งพันคน กลุ่มที่ถูกปฏิเสธไม่ได้รับบริการทำแท้งมีแนวโน้มวิตกกังวล ซึมเศร้า อีกทั้งยังได้รับผลกระทบทางการเงินและสภาพครอบครัว มากกว่ากลุ่มที่ได้รับบริการทำแท้ง
"สิ่งสำคัญที่สุดคือทุกคนมีสิทธิ์ในร่างกายตนเอง เลือกตัดสินใจด้วยตัวเองได้ว่าจะรับบริการทางแพทย์ที่พวกเขาต้องการได้อย่างไร” ดร.เชลลีทิ้งท้าย
วันทำแท้งปลอดภัยสากล หรือ 28 กันยายนของทุกปี สร้างการตระหนักรับรู้เกี่ยวกับสิทธิ์ในร่างกายของผู้หญิงและลดการตีตราผู้ที่เคยทำแท้ง
การรับบริการทำแท้งในออสเตรเลียนั้นถูกกฎหมายและปลอดภัย ผู้อ่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ในบทความบริการทำแท้งในออสเตรเลีย
READ MORE

บริการทำแท้งในออสเตรเลีย