สิบปีหลังจากเดินทางมาอยู่ออสเตรเลีย ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่เคยทำงานเป็นผู้จัดการหรือวิชาชีพชั้นสูงในประเทศบ้านเกิด ยังคงประสบปัญหาในการหางาน
รายงานฉบับใหม่จากสถาบันศึกษาครอบครัวแห่งออสเตรเลีย (Australian Institute of Family Studies – AIFS) ระบุว่า กลุ่มผู้ลี้ภัยเหล่านี้กำลังเผชิญกับ “ปัญหาการทำงานต่ำกว่าคุณวุฒิ” (occupational downgrade)
ผลการวิจัยนี้ตอกย้ำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่า ผู้ลี้ภัยในออสเตรเลียจำนวนมากต้องเจอกับอุปสรรคในการหางานที่เหมาะสมกับความสามารถ
จอห์น ฟาน คอย (John van Kooy) หัวหน้าผู้เขียนรายงานฉบับนี้ ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส นิวส์ (SBS News) ว่า
“เราศึกษาเกี่ยวกับประเภทของอาชีพที่พวกเขาทำก่อนย้ายมาออสเตรเลีย เปรียบเทียบกับงานที่พวกเขาหาได้ในช่วง 10 ปีหลังจากนั้น สิ่งที่พบคือมีความเปลี่ยนแปลงด้านลบอย่างเห็นได้ชัด”
อ่านเพิ่มเติม

งานเดียวไม่พอ ออสฯ พบปชช.ควบหลายงานสู้ค่าครองชีพ
ฟาน คอย กล่าวว่า
“เรานิยามสิ่งนี้ว่า ‘การทำงานต่ำกว่าคุณวุฒิ’ หมายถึงกลุ่มคนที่เคยทำงานในตำแหน่งระดับมืออาชีพหรือผู้บริหารมาก่อน เช่น ด้านธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยีสารสนเทศ แต่แม้จะมีถิ่นพำนักถาวรในออสเตรเลียมาแล้วกว่า 10 ปี หลายคนก็ยังหางานในระดับเดียวกันไม่ได้”
การศึกษานี้สำรวจผู้ย้ายถิ่นฐานผ่านโครงการมนุษยธรรมประมาณ 2,400 คน เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี นับตั้งแต่ได้รับวีซ่าครั้งแรกในปี 2013
โดยผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่มาจากอิรัก อัฟกานิสถาน อิหร่าน และเมียนมา ซึ่งสะท้อนถึงกลุ่มผู้ลี้ภัยที่ออสเตรเลียรับเข้ามาในช่วงเวลานั้นๆ
การศึกษาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาติดตามกลุ่มผู้ลี้ภัยระยะยาวที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการตั้งถิ่นฐานและการสนับสนุนหลังเดินทางมาถึง
แนวโน้มการทำงานต่ำกว่าคุณวุฒิชัดเจนขึ้นในกลุ่มผู้หญิง
รายงานระบุว่า ก่อนเดินทางมาออสเตรเลีย ผู้หญิงผู้อพยพย้ายถิ่นที่มีงานทำ 30% เคยทำงานในตำแหน่งระดับผู้บริหารหรือวิชาชีพชั้นสูง
เช่นเดียวกับ19% ของผู้ชายที่มีงานทำในระดับใกล้เคียงกัน แต่หลังจากอยู่ในออสเตรเลียเป็นเวลา 10 ปี ตัวเลขดังกล่าวลดลงเหลือเพียง 17% ในกลุ่มผู้หญิง และ 10% ในกลุ่มผู้ชาย
ผู้ชายเพียงครึ่งเดียวที่เคยทำงานด้านธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล การตลาด และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ในประเทศบ้านเกิด ยังคงมีงานทำในสายเดิมในออสเตรเลียหลังผ่านไป 10 ปี
โดยส่วนใหญ่เปลี่ยนมาทำงานด้านช่าง เทคนิค หรือเป็นพนักงานเครื่องจักร แต่ในกลุ่มผู้หญิง ปัญหาการทำงานต่ำกว่าคุณวุฒิยิ่งรุนแรงกว่า
มากกว่าสองในสาม หรือราว 67% ของผู้หญิงที่เคยเป็นผู้จัดการหรือวิชาชีพชั้นสูงในบ้านเกิด กลับไม่มีงานทำที่ได้รับค่าจ้างในออสเตรเลีย
ที่เหลือส่วนใหญ่ทำงานเป็นผู้ดูแล ผู้ช่วยทำความสะอาด ผู้ช่วยครู หรือพนักงานขาย ซึ่งล้วนเป็นงานที่อยู่ในระดับล่างกว่าศักยภาพทางอาชีพเดิมของพวกเธอ
ฟาน คอย ระบุว่า ผู้หญิงที่มีลูกเล็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ มีแนวโน้มจะไม่มีงานทำมากกว่าผู้ชายถึง 84% ในช่วงเวลาเดียวกัน
การศึกษายังพบว่า หลังจากอาศัยอยู่ในออสเตรเลียเป็นเวลา 10 ปี มีผู้หญิงเพียง 39% และผู้ชาย 63% ที่ยังอยู่ในตลาดแรงงาน ส่วนคนที่ยังไม่มีงานทำ ราว 33% ของผู้หญิง และ 41% ของผู้ชายระบุว่าต้องการมีงานทำ
เขาอธิบายว่า ผู้ลี้ภัยต้องเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่าง เช่น ทักษะภาษาอังกฤษ โดยผู้ที่สามารถเรียนรู้ภาษาได้เร็ว มักจะเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็วกว่า
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่อง การรับรองวุฒิการศึกษาและทักษะจากต่างประเทศ ซึ่งมักไม่เป็นที่ยอมรับในระบบของออสเตรเลีย
“ประโยชน์ทางเศรษฐกิจนับพันล้าน” ที่ยังไม่ถูกใช้
จากรายงานของ AIFS อ้างถึงรายงานปี 2024 จากองค์กร Settlement Services Australia (SSI) ซึ่งเป็นหน่วยงานไม่แสวงกำไรที่ให้บริการด้านการตั้งถิ่นฐาน
โดยประเมินว่าหากแรงงานผู้ย้ายถิ่นและผู้ลี้ภัยในออสเตรเลียได้ทำงานที่สอดคล้องกับทักษะและวุฒิการศึกษาของตนเองอย่างเต็มที่ จะช่วยสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้ประเทศได้ถึง 9 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
เดน มัวส์ (Dane Moores) หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์สัมพันธ์ของ SSI กล่าวว่า เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ย้ายถิ่นฐานถาวรในออสเตรเลียทำงานต่ำกว่าทักษะที่มี และกลุ่มผู้ลี้ภัยมีแนวโน้มสูงกว่าที่จะเผชิญกับการถูกใช้งานไม่เต็มศักยภาพ
“ผู้ลี้ภัยจำนวนมากเดินทางมายังออสเตรเลียพร้อมด้วยประสบการณ์วิชาชีพและทักษะที่มีคุณค่า แต่กลับต้องเผชิญกับระบบที่ไม่เห็นคุณค่าความสามารถของพวกเขา และมีอุปสรรคมากมายในการรับรองวุฒิหรือทักษะอย่างเป็นทางการ”
เขายังกล่าวเสริมว่า
“ผู้ลี้ภัยจำนวนมากนอกจากจะมีคุณสมบัติส่วนตัวที่น่าทึ่ง เช่น ความมุ่งมั่นและความอดทนแล้ว พวกเขายังมีทักษะสำคัญที่ออสเตรเลียต้องการอย่างเร่งด่วน เช่น ด้านสุขภาพ การศึกษา และวิศวกรรม แต่ทักษะเหล่านี้จำนวนมากถูกละเลย”
“เราทุกคนต่างเสียประโยชน์” หากปล่อยให้ศักยภาพผู้ลี้ภัยถูกมองข้าม
ฟาน คอย กล่าวว่าระบบการรับรองวุฒิการศึกษาและทักษะในออสเตรเลียมีพัฒนาการดีขึ้นในช่วงหลัง แต่ก็ยัง “ต้องมีการปรับปรุงอีกมาก”
เขาอ้างถึงการปฏิรูประบบการย้ายถิ่นของรัฐบาลกลางเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายหนึ่งคือการเพิ่มแรงงานทักษะเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรในหลายสาขา
แต่รายงานฉบับใหม่เผยว่า ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่มีทักษะสูง ประสบการณ์ และวุฒิการศึกษา กลับต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้
“หากเราปล่อยให้วุฒิหรือทักษะของพวกเขาไม่ได้ใช้งาน หรือไม่สามารถเข้าถึงงานที่เหมาะสมกับความสามารถหรือความฝันในอาชีพได้ เราทุกคนต่างก็เสียประโยชน์” เขากล่าว
ฟาน คอยเน้นว่า การตั้งถิ่นฐานไม่ใช่เรื่องระยะสั้นแต่เป็นการลงทุนระยะยาว
“นี่คือการลงทุนระยะยาว และเป็นการเดินทางระยะยาวที่เราควรเดินร่วมไปกับพวกเขา
การตั้งตัวไม่ได้เกิดขึ้นแค่ใน 2–3 ปีแรกหลังจากเดินทางมาถึง แต่เป็นประสบการณ์ตลอดชีวิต และเราควรมองด้วยมุมมองแบบนั้น”
แม้ผ่านประสบการณ์เลวร้าย ผู้ลี้ภัยจำนวนมากยังลุกขึ้นสู้และเริ่มต้นธุรกิจของตนเองในออสเตรเลีย
แม้ผู้ลี้ภัยจะมีภูมิหลังและประสบการณ์ที่หลากหลาย ฟาน คอย กล่าวว่า หลายคนแสดงให้เห็นถึงความอดทนและความเข้มแข็งตลอดเส้นทางการเดินทางมายังออสเตรเลีย
“ผู้ลี้ภัยต้องผ่านประสบการณ์ที่บอบช้ำทางจิตใจ เช่น การใช้เวลานานในประเทศที่เป็นจุดเปลี่ยนผ่าน หรืออยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย พวกเขาสะสมทั้งประสบการณ์และความเข้มแข็ง ซึ่งสามารถกลายเป็นทรัพยากรอันมีค่าสำหรับระบบเศรษฐกิจของออสเตรเลีย”
แต่เขาก็ย้ำว่า
“ประสบการณ์เหล่านี้ก็อาจส่งผลด้านลบต่อสุขภาพจิตของผู้ที่เคยเผชิญเหตุการณ์รุนแรงเช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม รายงานพบว่า มากกว่าหนึ่งในห้าของผู้ลี้ภัยที่ร่วมวิจัย เริ่มต้นธุรกิจของตนเองหรือกลายเป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระภายในระยะเวลา 10 ปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประชากรที่เกิดในออสเตรเลีย
ฟาน คอยมองว่า หนึ่งในเหตุผลอาจมาจากการที่ผู้ลี้ภัยเข้าถึงตลาดแรงงานทั่วไปได้ยาก จึงเลือกเส้นทางการเป็นเจ้าของกิจการหรือทำงานอิสระ
“แต่นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าผู้ลี้ภัยเป็นกลุ่มที่มีความพยายามและความยืดหยุ่นสูง พวกเขาทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อหารายได้ เลี้ยงดูครอบครัว และสร้างชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย”