วัคซีนต้านโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ สร้างความหวังใหม่ที่อาจช่วยให้โคอาลา สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของออสเตรเลียรอดชีวิตมากขึ้น และอาจพัฒนาเป็นตัวยาสำหรับมนุษย์ในอนาคต
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซันไชน์โคสต์ ใช้เวลากว่าทศวรรษในการพัฒนาวัคซีนแบบฉีดครั้งเดียวเพื่อป้องกันโรคหนองในเทียม (chlamydia) ในโคอาลา
นอกเหนือจากการสูญเสียถิ่นอาศัยและอุบัติเหตุจากการถูกรถชนแล้ว โรคหนองในเทียมถือเป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักต่อจำนวนโคอาลา ซึ่งโรคนี้ก่อให้เกิดอาการตาบอด ปอดบวม การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและระบบสืบพันธุ์ ภาวะมีบุตรยาก และการเสียชีวิต
“โรคหนองในเทียมส่งผลกระทบต่อโคอาลามากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของประชากรโคอาลาทั้งหมด ดังนั้นเราจึงต้องการคิดค้นวิธีรักษาโรคนี้” ศาสตราจารย์ปีเตอร์ ทิมส์ จากศูนย์นวัตกรรมชีวภาพ มหาวิทยาลัยซันไชน์โคสต์ กล่าว
วัคซีนได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับชาติของออสเตรเลีย (Australian Pesticides and Veterinary Medical Authority)
ศาสตราจารย์ทิมส์กล่าวว่า จากการศึกษาประชากรโคอาลาที่ใช้วัคซีนตลอดระยะเวลา 10 ปี พบว่าอัตราการติดเชื้อลดลงและผลลัพธ์ด้านสุขภาพดีขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มโคอาลาวัยเจริญพันธุ์
เขาหวังว่าวัคซีนจะเริ่มนำมาใช้อย่างเป็นทางการในช่วงต้นปี 2026 โดยจะเริ่มฉีดให้โคอาลาในโรงพยาบาลสัตว์ป่าก่อน จากนั้นจึงขยายไปสู่โคอาลาที่อยู่ในธรรมชาติ
ศ. ทิมส์ระบุว่า มีหลักฐานชี้ว่าโคอาลามีความอ่อนไหวต่อการระบาดของโรคหนองในเทียมมากขึ้น เนื่องจากความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากการสูญเสียถิ่นอาศัย ไฟป่า และภัยแล้ง
“เรามีตัวอย่างในพื้นที่อย่างทางตอนเหนือของรัฐนิวเซาท์เวลส์ ที่ระดับการติดเชื้อหนองในเทียมเพิ่มจากระดับต่ำมากจนเกือบถึง 80 เปอร์เซ็นต์” เขากล่าว
จากการศึกษาพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างอัตราการเพิ่มขึ้นของโรคหนองในเทียมกับการถางป่าที่เป็นที่อยู่อาศัยของโคอาลา ศ. ทิมส์ย้ำว่าการสูญเสียถิ่นอาศัยยังคงเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อการอยู่รอดของโคอาลาโดยรวม
“ปัญหาของการปลูกต้นไม้ก็คือใช้เวลานานกว่าจะเติบโต ขณะที่วัคซีนสำหรับรักษาโรคหนองในเทียมสามารถออกฤทธิ์ได้ทันที” เขากล่าว
ศ. ทิมส์ยังเสริมด้วยว่า การพัฒนาวัคซีนนี้มีศักยภาพที่จะช่วยต่อสู้กับโรคหนองในเทียมในมนุษย์ได้เช่นกัน
องค์การอนามัยโลกประเมินว่า ในปี 2020 มีผู้ติดเชื้อโรคหนองในเทียมรายใหม่มากกว่า 128 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประชากรอายุ 15–49 ปี
ศาสตราจารย์ทิมส์กล่าวว่า “ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจกับสิ่งที่เราทำในเรื่องวัคซีนสำหรับโคอาลา ดังนั้นยังมีบทเรียนที่สามารถนำไปต่อยอดสู่การพัฒนาวัคซีนสำหรับมนุษย์ได้เช่นกัน”