การประกาศข้อบังคับการห้ามใช้โซเชียลมีเดียในเยาวชนของออสเตรเลียนี้ เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลก เพราะถือเป็นครั้งแรกของโลก ที่ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 16 ปีใช้โซเชียลมีเดีย โดยให้เหตุผลว่าต้องการลดอันตรายจากการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์
ล่าสุด (วันอังคารที่ 16 กันยายน) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อนิกา เวลส์ ได้ประกาศแนวทางกำกับดูแลออกมา โดยเธอชี้ว่า
“รัฐบาลจะคอยสนับสนุนครอบครัวออสเตรเลีย และปกป้องความปลอดภัยของเด็กๆ เราอาจควบคุมทั้งมหาสมุทรไม่ได้ แต่เราสามารถจัดการกับฉลามได้ และวันนี้เรากำลังแสดงให้โลกเห็นอย่างชัดเจนว่าเราจะทำสิ่งนี้อย่างไร”
แต่มุมมองดังกล่าว ไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาพรรคกรีนส์ด้านศิลปะและการสื่อสาร ซาราห์ แฮนสัน-ยัง
“มันชุลมุนและเป็นความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้โซเชียลที่จะเริ่ม 10 ธันวาคมนี้... แทนที่จะคุมฉลาม รัฐบาลกลับหวังแค่เด็กๆ จะไม่กระโดดลงน้ำ ทั้งที่เรารู้ดีว่าแพลตฟอร์มโซเชียลยังเต็มไปด้วยคอนเทนต์ที่เป็นอันตราย และยังเจาะกลุ่มโฆษณาหาเยาวชนต่อไป”
ยาแรงสำหรับผู้ให้บริการ
เมื่อปลายปีที่แล้ว ออสเตรเลียออกกฎหมายบังคับให้บริษัทโซเชียลต้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 16 ใช้งาน ล่าสุดแนวทางกำกับดูแลความยาว 55 หน้า ได้ระบุรายละเอียด เช่น ให้แพลตฟอร์มต้องปิดหรือยกเลิกบัญชีที่มีอายุต่ำกว่าเกณฑ์อย่างเหมาะสมและสื่อสารอย่างชัดเจน รวมถึงป้องกันไม่ให้สมัครใหม่ได้
ผู้บัญชาการ eSafety จูลี่ อินแมน แกรนท์ ระบุว่า หากฝ่าฝืนกฎ อาจถูกปรับสูงสุดถึง 50 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย
“อาจจะมีบางแพลตฟอร์มที่เลือกจะไม่ทำอะไรเลย เพื่อทดสอบการบังคับใช้กฎหมายของเรา ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็พร้อมใช้มาตรการเข้มงวดตอบโต้ รัฐมนตรีเองยังบอกเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เธอเป็นคนพร้อมชน ดังนั้นเรารู้ว่ารัฐบาลหนุนหลังเราอยู่”
จุดที่สำคัญคือ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ตรวจอายุทุกคน รัฐมนตรีเวลส์บอกว่า แพลตฟอร์มโซเชียลไม่ต้องเช็กอายุผู้ใช้ทุกราย และไม่ต้องเก็บข้อมูลส่วนตัวจากขั้นตอนตรวจสอบอายุ
“เราต้องการให้กฎเกณฑ์และการบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้มีการเก็บข้อมูลน้อยที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของผู้คนจะยังคงเป็นส่วนตัว เหตุผลที่เราไม่ขอให้ทุกคนต้องยืนยันอายุก็เพราะแพลตฟอร์มโซเชียลรู้เรื่องของเรามากพออยู่แล้ว เช่น ถ้าคุณเล่นเฟซบุ๊กมาตั้งแต่ปี 2009 ก็ชัดเจนแล้วว่าคุณอายุเกิน 16 ไม่จำเป็นต้องยืนยันเพิ่ม”
ความเห็นของนักวิชาการ
ศาสตราจารย์ลิซ่า กิฟเวน นักวิจัยด้านพฤติกรรมข้อมูลจากมหาวิทยาลัย RMIT ชี้ว่ามาตรการนี้ยังไม่ใช่คำตอบที่สมบูรณ์แบบ
“ส่วนตัว ไม่คิดว่าพ่อแม่จะมองกฎหมายนี้เป็นเหมือนเกราะป้องกันความปลอดภัยได้จริง เพราะสุดท้ายแล้ว เด็กๆ ก็ยังอาจเจอคอนเทนต์ที่เป็นอันตรายบนโลกออนไลน์ได้ ซึ่งอาจไม่ใช่บนโซเชียลมีเดีย แต่อาจอยู่บนเว็บเบราว์เซอร์ หรือเพราะเด็กสามารถหลอกระบบได้ เช่น สมัครบัญชีใหม่ หรือใช้บัญชีของผู้ใหญ่ ดังนั้นพ่อแม่ก็ยังต้องคอยระมัดระวังอยู่เสมอ”
สัปดาห์หน้า คณะกรรมการ eSafety จะเดินทางไปพบกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในซิลิคอนวัลเลย์ เช่น Apple, Discord, OpenAI, Google และ Meta เพื่อหารือเรื่องการแบนโซเชียล
ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจะเดินทางไปนิวยอร์กพร้อมนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ และหารือถึงเหตุผลและวิธีการของกฎหมายฉบับนี้ด้วย