เบ็ก กิลเลสปี ต้องอยู่กับความกลัวตลอดเวลา
นักสังคมสงเคราะห์จากมณฑลนครหลวงแคนเบอร์รา มีลูกสาวฝาแฝด อบิเกล และอีโลอิส
ในปี 2023 อบิเกลเกิดอาการช็อกจากการแพ้ไข่อย่างรุนแรง ขณะรับประทานอาหารระหว่างการท่องเที่ยวในต่างรัฐเป็นครั้งแรก
“และตั้งแต่นั้นมา มันก็ส่งผลกระทบกับชีวิตประจำวันของเราในทุกด้าน แค่เพียงทานอาหารผิดชนิดเพียงนิดเดียว ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ชีวิตของลูกคุณอาจตกอยู่ในอันตรายภายในไม่กี่นาที ดังนั้นในฐานะผู้ปกครอง คุณจึงแบกความกลัวนั้นไปทุกที่”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

การจัดการเรื่องภูมิแพ้ที่โรงเรียนในออสเตรเลีย
อีโลอิสก็มีอาการแพ้อาหารเล็กน้อยเช่นกัน และผลการตรวจสอบระบุว่า อบิเกลอาจแพ้อาหารทะเลและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ด้วย
เบ็กเล่าว่าการดูแลโรคภูมิแพ้ของลูกสาวทั้งสองคนกระทบกับจิตใจและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก
“มันวุ่นวายมากจริงๆ ส่งผลกับทุกชีวิตประจำวันของคุณเลย คุณต้องอ่านฉลากอาหารทุกตัว ต้องถามคำถามทุกครั้ง ต้องจำไว้เสมอว่าต้องพกยาฉีดอะดรีนาลีนไปทุกที่ แม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการออกไปกินข้าวนอกบ้าน ไปงานวันเกิด หรือการเดินทาง ก็ต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ฉันยังรู้สึกกังวลเมื่อต้องส่งลูกไปศูนย์เด็กเล็ก หรือแม้แต่ฝากไว้กับครอบครัว เพราะเราต้องพึ่งพาคนอื่นที่ต้องมีความรู้และพร้อมรับมือด้วย”
งานวิจัยล่าสุดโดย Deloitte Access Economics พบว่า เกือบ 1 ใน 3 ของชาวออสเตรเลียเป็นโรคภูมิแพ้
ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา จาก 4.1 ล้านคนในปี 2007 เป็น 8.2 ล้านคนในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ เคิร์สเต็น เพอร์เร็ตต์ ผู้อำนวยการศูนย์ดูแลโรคภูมิแพ้แห่งชาติ (National Allergy Centre of Excellence) และสถาบันวิจัยเด็กเมอร์ด็อก (Murdoch Children’s Research Institute) ระบุปัจจัยที่เอื้อต่อตัวเลขที่เพิ่มขึ้น
“เราทราบว่าพันธุกรรมมีส่วน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงมากคือสภาพแวดล้อม ทั้งการเปลี่ยนแปลงของเกสรดอกไม้ มลภาวะ รวมถึงสารระคายเคืองและสารเคมีต่างๆ ในชุมชนและสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่เราเห็นได้ชัดคือวิถีชีวิตสมัยใหม่ เช่น การทำความสะอาดอย่างเข้มงวด การใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งทำให้รูปแบบการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป และทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เราเห็นจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตลอด 30–40 ปีที่ผ่านมา”

ผู้ที่เป็นโรคไข้ละอองฟางกำลังใช้ยาพ่น Source: Getty / Getty Images
และโรคไข้ละอองฟาง (hay fever) ส่งผลกระทบราว 24% ของประชากร แพ้อาหาร 7% และแพ้ยาประมาณ 5%
ออสเตรเลียถูกเรียกว่าเป็นเมืองหลวงแห่งโรคภูมิแพ้ของโลก ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่ประเทศไหนอยากได้ โดยเฉพาะในด้านการแพ้อาหาร เรามีอัตราเด็กแพ้อาหารสูงที่สุดในโลก ประมาณ 10% ของทารกทั้งหมดในออสเตรเลียมีอาการแพ้อาหารศจ. เคิร์สเต็น เพอร์เร็ตต์ กล่าว
รายงานใหม่ของ Deloitte ยังประเมินค่าใช้จ่ายที่ผู้ป่วยและครอบครัวต้องรับภาระต่อคนอยู่ที่อย่างน้อย 2,400 ดอลลาร์ และรวมกันทั้งประเทศกว่า 18.9 พันล้านดอลลาร์
ค่าใช้จ่ายนี้รวมค่ารักษาพยาบาลและการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน สำหรับค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช่ตัวเงิน เช่น ความเจ็บปวด คุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดี ตีมูลค่าสูงถึงประมาณ 44 พันล้านดอลลาร์
มาเรีย เซอิด ผู้อำนวยการสมาพันธ์โรคภูมิแพ้แห่งชาติ (National Allergy Council) และผู้อำนวยการขององค์กรโรคภูมิแพ้และอาการช็อกจากการแพ้แห่งออสเตรเลีย (Allergy & Anaphylaxis Australia) กล่าวว่า ผลวิจัยนี้ไม่น่าแปลกใจเพราะมีความต้องการใช้บริการรักษาโรคภูมิแพ้เพิ่มสูงผิดปกติ
“ความต้องการใช้บริการดูแลรักษาของเราเพิ่มสูงขึ้น ความต้องการข้อมูลที่มากขึ้น ความท้าทายที่ผู้ป่วยต้องเผชิญ ทั้งการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลที่เพิ่มขึ้น จำนวนอาการแพ้ที่มากขึ้น และผู้ป่วยที่พยายามรักษาโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ รวมถึงการแพ้แมลงต่างๆ จำนวนคนที่ติดต่อเราเพื่อขอรับการรักษาที่ดีขึ้นและการเข้าถึงการรักษานั้นน่ากังวลมาก”

อาหารที่ประชากรออสเตรเลียมักแพ้ Source: Getty / Getty Images
และเธอค่อนข้างผิดหวังที่ไม่ได้รับคำแนะนำที่เพียงพอจากโรงพยาบาล แพทย์ทั่วไป (GP) และกุมารแพทย์ ในตอนแรก
อาการแพ้ของลูกของฉันไม่ได้รับการดูแลอย่างจริงจังเท่าที่ฉันหวังไว้ตั้งแต่แรก และปีนี้ที่ลูกของฉันอายุสามขวบ เราถึงได้เริ่มตรวจเรื่องอาการแพ้เพิ่มเติม และได้พบผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้และภูมิคุ้มกัน ในแคนเบอร์รามีผู้เชี่ยวชาญน้อยมาก ทำให้ต้องรอนาน และค่าใช้จ่ายก็สูงด้วยเบ็ก กิลเลสปี แม่ของเด็กที่เป็นโรคแพ้อาหารรุนแรงกล่าว
ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเห็นพ้องกัน รายงานนี้พิสูจน์ว่าควรมีการลงทุนมากขึ้นในการวิจัยและการบริการ เพื่อจัดการและป้องกันโรคภูมิแพ้ที่เพิ่มสูงขึ้นในออสเตรเลีย
“โรคภูมิแพ้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร และรายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าโรคภูมิแพ้เป็นปัญหาสำคัญที่กระทบชาวออสเตรเลีย 1 ใน 3 ครัวเรือน ซึ่งแทบทุกบ้านได้รับผลกระทบ ฉันคิดว่ารายงานนี้ระบุว่าต้องมีการใส่ใจมากขึ้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการลงทุนระยะยาวกับสมาพันธ์โรคภูมิแพ้แห่งชาติ และศูนย์ดูแลโรคภูมิแพ้แห่งชาติ เพื่อช่วยป้องกันโรคภูมิแพ้ เพิ่มความปลอดภัยของผู้ป่วย เร่งจัดทำงานวิจัย และพัฒนาการรักษาให้ดีขึ้น”