งานวิจัยล่าสุดระบุว่า การตั้งครรภ์และการให้นมบุตรจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง “ทีเซลล์” (T-cells) ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่ช่วยต่อสู้กับการติดเชื้อ และสามารถป้องกันไม่ให้เซลล์ผิดปกติพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้
มีการยืนยันจากงานวิจัยหลายชิ้นมาเป็นระยะเวลานานแล้วว่าการให้นมบุตรนั้น ดีต่อสุขภาพของทารก
ล่าสุด ทีมนักวิจัยจากศูนย์มะเร็งปีเตอร์ แม็คคัลลัม (Peter MacCallum Cancer Centre) ได้เผยผลการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า การตั้งครรภ์และการให้นมบุตร ยังสามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมในแม่ได้อีกด้วย
นักวิจัยอธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อเต้านมในช่วงเตรียมตัวให้นม และหลังหยุดให้นมบุตรนั้น เป็นกระบวนการที่กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก ทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันได้รับ “การฝึกฝน” ให้ทำหน้าที่ตรวจจับและป้องกันมะเร็งได้ดีขึ้น
โดยเฉพาะเซลล์ภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “CD8 T-cell” ซึ่งพบว่าการให้นมบุตรช่วยให้เซลล์ชนิดนี้สามารถเฝ้าระวังและตรวจจับเซลล์ผิดปกติในเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และกำจัดเซลล์เหล่านั้นก่อนที่จะพัฒนาเป็นมะเร็ง
งานวิจัยยังระบุว่า เซลล์ T-cell เหล่านี้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกัน “มะเร็งเต้านมชนิดสามลบ” หรือ (Triple Negative Breast Cancer) ซึ่งพบประมาณ 15% ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด
ศาสตราจารย์เชอรีน ลอย (Sherene Loi) จากศูนย์ปีเตอร์ แม็คคัลลัม กล่าวเพิ่มเติมว่า มะเร็งชนิดนี้มักเกิดในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 50 ปี และเป็นชนิดที่รักษาได้ยากที่สุดชนิดหนึ่ง
ศาสตราจารย์เชอรีน ลอย อธิบายว่า มะเร็งเต้านมชนิดสามลบเป็นชนิดที่รุนแรงที่สุด และโดยทั่วไปแพทย์มักรักษาด้วยการให้เคมีบำบัดร่วมกับการผ่าตัด รวมถึงการใช้ภูมิคุ้มกันบำบัด (immunotherapy)
เธอกล่าวว่า ผลการวิจัยนี้ตอกย้ำว่า “ระบบภูมิคุ้มกันมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับมะเร็งชนิดนี้” และหากสามารถกระตุ้นหรือปรับการทำงานของภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับมะเร็งได้ดีขึ้น ก็อาจช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและลดโอกาสที่โรคจะกลับมาเป็นซ้ำได้
ขณะเดียวกัน สเตฟานี เดวี คุณแม่ลูกสองที่กำลังให้นมบุตร กล่าวว่า เธอรู้สึกอุ่นใจที่ได้รู้ว่าการให้นมไม่เพียงเป็นประโยชน์ต่อทารกเท่านั้น แต่ยังอาจช่วยปกป้องสุขภาพของเธอเองในระยะยาวด้วย
สเตฟานีเล่าว่า “เวลาที่คุณให้นมบุตร คุณจะโฟกัสอยู่กับลูก อยากทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ เพื่อให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แต่การได้รู้ว่ามันยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของตัวเราเองด้วย มันเป็นเรื่องที่พิเศษมากจริง ๆ”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามีผู้หญิงในออสเตรเลียจำนวนเท่าใดที่กำลังให้นมบุตรอยู่ เพราะยังไม่มีการจัดเก็บข้อมูลในส่วนนี้อย่างเป็นระบบ
วิกตอเรีย มาร์แชล หัวหน้าสมาคมการให้นมบุตรแห่งออสเตรเลีย (Australian Breastfeeding Association) กล่าวว่าจากข้อมูลที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่า ผู้หญิงจำนวนมากยังต้องการการสนับสนุนในการเริ่มต้นและในระยะเวลาที่ให้นมบุตรอย่างต่อเนื่อง
วิกตอเรีย มาร์แชล อธิบายว่า ปัจจุบันออสเตรเลียยังขาดข้อมูลเกี่ยวกับอัตราการให้นมบุตรอย่างครอบคลุม
สมาคมต้องอ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจ “National Infant Feeding Survey” เมื่อปี 2010 ซึ่งเป็นการสำรวจครั้งสุดท้ายที่ได้ข้อมูลคุณภาพสูง และมีข้อมูลบางส่วนจากรัฐวิกตอเรียระหว่างปี 2017-2018
และจากข้อมูลเหล่านี้พบว่า อัตราการให้นมบุตรลดลงอย่างรวดเร็ว โดยที่เมื่อแม่และทารกออกจากโรงพยาบาล พบว่าเหลือแม่เพียงราว 70% ที่ยังให้นม และภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังคลอด จำนวนแม่ที่ยังให้นมแม่เหลือเพียง 16–22% เท่านั้น
เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า แม้งานวิจัยล่าสุดจะเน้นไปที่ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์และให้นมบุตร แต่ก็เปิดประตูความหวังให้กับผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรด้วย เพราะผลการค้นพบนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาวิธีป้องกันโรคมะเร็งเต้านมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
วิกตอเรีย มาร์แชล กล่าวเพิ่มเติมว่า “การได้เห็นงานวิจัยที่ศึกษากลไกการป้องกันโรคของการให้นมบุตรต่อสุขภาพของผู้หญิง ถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง”