พยาบาลวิชาชีพที่ขึ้นทะเบียนทั่วประเทศจะสามารถเริ่มการฝึกอบรม เพื่อให้มีสิทธิ์สั่งจ่ายยาในสถานพยาบาลได้
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่จะขยายบทบาทการทำงานของบุคลากรสาธารณสุขบางส่วนให้กว้างขึ้น แต่การเพิ่มทักษะนี้จะต้องศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาในมหาวิทยาลัย
แต่จากที่ เวโรนิกา เคซีย์ ประธานคณะกรรมการการพยาบาลและผดุงครรภ์ อธิบายไว้ว่าอย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น แต่ยังมีรายละเอียดอีกมากที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คุณเคซีย์ กล่าวว่า
“ยังมีเงื่อนไขอื่น ๆ อีก เช่น พยาบาลที่จะได้รับการรับรอง ต้องมีประสบการณ์การปฏิบัติงานทางคลินิก อย่างน้อย 3 ปีหลังจากได้รับการขึ้นทะเบียนครั้งแรก การศึกษาเป็นองค์ประกอบสำคัญของมาตรฐานนี้ก็จริง แต่ยังมีขั้นตอนและเกณฑ์อื่น ๆ ที่คณะกรรมการจะพิจารณาก่อนให้การรับรอง”
อ่านเพิ่มเติม

เส้นทางสู่การเป็นพีอาร์สำหรับผู้มีทักษะงานพยาบาล
ด้าน ดาเนียล แม็คมัลเลน จากสมาคมการแพทย์ออสเตรเลีย (AMA) ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะนำไปสู่ความร่วมมือที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ดียิ่งขึ้น
“รูปแบบการดูแลที่ให้พยาบาลสามารถสั่งยาได้ ซึ่งจะเป็นผลจากการปฏิรูปครั้งนี้ จะช่วยส่งเสริมการทำงานแบบทีม เพราะกำหนดให้พยาบาลต้องทำงานร่วมกับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านพยาบาล (nurse practitioner) เพื่อให้การสั่งยามีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด”
ด้าน ศาสตราจารย์เจน มิลส์ จากคณะสาธารณสุขชนบท มหาวิทยาลัยลาโทรบ เสริมว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ยังมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตการขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุข
“โดยเฉพาะผู้ป่วยในพื้นที่ภูมิภาคและชนบท ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนแพทย์อย่างหนัก ทำให้บางครั้งต้องรอนานมากกว่าจะได้พบผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์”
ฟรานเซส ไรซ์ จากวิทยาลัยพยาบาลแห่งออสเตรเลีย (Australian Royal College of Nursing) กล่าวเสริมว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะช่วยขยายโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงยาที่จำเป็นได้มากขึ้น
“แน่นอนว่าจะมีการนำไปใช้ในระบบโรงพยาบาลด้วย แต่ส่วนตัวแล้วคิดว่าผลลัพธ์ที่เห็นชัดเจนที่สุดจะเกิดขึ้นนอกโรงพยาบาล เพราะจะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยาที่จำเป็นได้เร็วขึ้นและในราคาที่เอื้อมถึงมากขึ้นในชุมชน”
ในระยะเริ่มต้นนี้ บุคลากรทางการแพทย์ที่ผ่านการอบรมและได้รับคุณวุฒิจะสามารถสั่งยาทุกประเภทได้
แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน เช่น มีเสียงเรียกร้องให้ตัดยาควบคุมพิเศษในกลุ่ม Schedule 8 ซึ่งจัดเป็นยาที่มีโอกาสเสพติดสูง ออกจากบัญชีที่พยาบาลสามารถสั่งได้
นางแม็คมัลเลน ระบุว่า ในกรณีเช่นนี้ อาจจำเป็นต้องอาศัยทักษะของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
“ยาเหล่านี้มีความเสี่ยงสูง เช่น มอร์ฟีน กลุ่มโอปิออยด์ หรือยาที่ทำให้เกิดการพึ่งพิง เราเห็นว่าสำคัญมากที่จะต้องมีผู้สั่งยาที่มีประสบการณ์เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการนี้”
แม้ในขณะนี้จะยังเป็นขั้นตอนของการจัดทำรายละเอียดของรูปแบบการปฏิบัติของโครงการ แต่คาดว่าการฝึกอบรมจะเริ่มต้นได้ในปีหน้า