เวลาพูดถึง “ดราม่า” หรือ “แดนซ์” หลายคนคงนึกถึงการแสดงบนเวที การเขียนบท ดนตรี ท่าทางการเต้น แต่สำหรับ ดานา วิศิษฐ์ชัยชาญ ศิลปะเหล่านี้คือเครื่องมือบำบัดจิตใจในศาสตร์ที่เรียกว่า Creative Arts Therapy
ศาสตร์นี้ไม่ใช่เพื่อการแสดงหรือความบันเทิง แต่เพื่อการเปิดพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้คนได้สำรวจความรู้สึก ความคิด และตัวตนของตนเอง ผ่านเครื่องมืออย่าง Drama Therapy และ Dance Therapy ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อการเยียวยาอย่างแท้จริง
“ดราม่าเทอราปีไม่ใช่การเล่นละครจริง ๆ ค่ะ” ดานาย้ำ “แต่คือการใช้เครื่องมือเชิงสัญลักษณ์ การเล่าเรื่อง การสวมบทบาท การเคลื่อนไหว หรือแม้กระทั่งการระบายสี เพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัดได้เข้าใจตัวเองลึกขึ้น ในพื้นที่ที่เขารู้สึกปลอดภัย”
จากดิจิทัลอาร์ตสู่ห้องบำบัด
เส้นทางของดาน่าไม่ได้เริ่มจากเวทีการแสดง เธอจบปริญญาตรีด้านดิจิทัลอาร์ตก่อนจะมาค้นพบการเรียนรู้แขนงใหม่ที่มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น
“พอหาข้อมูลเจอสาขา Creative Arts Therapy เราก็รู้สึกว่าน่าสนใจมาก เพราะมันให้เราใช้ความสร้างสรรค์หลายรูปแบบมาช่วยเยียวยาคน” เธอเล่า
“อีกเหตุผลที่เลือก Drama Therapy ก็เพราะตอนนั้นสาขามีให้เลือกแค่ดราม่ากับแดนซ์ แล้วเราเต้นไม่เป็น เลยเลือกดราม่า แต่พอเรียนไปจริง ๆ กลับชอบและสนุกกับมันมาก”
ในหลักสูตรที่เธอเรียน เนื้อหาครอบคลุมทั้ง งานวิจัยทางวิชาการ และ การฝึกภาคปฏิบัติ ดานาอธิบายว่าไม่ใช่คอร์สที่ยากจนเกินไป แต่ต้องอาศัยความขยันและความสม่ำเสมอ เพราะมีงานเขียนรายงานวิชาการส่งทุกสัปดาห์
“จริงๆ คือเราต้องมีความกล้าแสดงออก ต้องสามารถ improvise ได้ในทุกๆ สถานการณ์”
ไม่ใช่การแสดง แต่เป็นการสื่อสาร
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบเสมอคือ หลายคนคิดว่า Drama Therapy หมายถึงการ “เล่นละคร” อย่างจริงจัง ดานาอธิบายว่า
“ความจริงคือผู้รับการบำบัดไม่จำเป็นต้องแสดงละครเลยค่ะ บางครั้งแค่เป็นผู้ฟังหรือเข้าร่วมกิจกรรมง่าย ๆ ก็เพียงพอแล้ว การแสดงที่เกิดขึ้นในเซสชันมักเป็นเชิงสัญลักษณ์ เพื่อสะท้อนสิ่งที่อยู่ในใจมากกว่า”
กิจกรรมอาจเป็นการเล่าเรื่องสั้น ๆ ใช้การ์ดแทนสัญลักษณ์ หรือการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อแสดงอารมณ์ สิ่งสำคัญคือการที่ผู้เข้าร่วมได้มองเห็นประสบการณ์ของตัวเองจากมุมใหม่ และค่อย ๆ เข้าใจตัวเองมากขึ้น
กลุ่มในที่ใช้การบำบัดในลักษณะนี้
ดานา อธิบายว่า ดราม่าเทอราปีสามารถใช้ได้กับทุกคน แต่กลุ่มที่เห็นผลเด่นชัดคือ เด็ก วัยรุ่น และผู้ที่มีภาวะ neurodivergence เพราะช่วยพัฒนาทักษะด้าน emotional regulation หรือการควบคุมอารมณ์
ดานาเล่าถึงเด็กที่เธอเคยทำงานด้วย “ตอนแรกเขาโฟกัสได้ไม่เกิน 10 นาที กิจกรรมอะไรก็ทำแบบลวก ๆ แต่พอถึงเซสชันที่ 4 เราให้เขาลองกิจกรรม symbol card embodiment เขากล้าออกจากคอมฟอร์ตโซน ใช้ท่าทางสร้างสรรค์ และอยู่กับกิจกรรมได้นานกว่า 25 นาทีโดยไม่เสียสมาธิเลย”
สำหรับเธอ ความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ แบบนี้คือสัญญาณที่มีความหมาย “เราเห็นว่าเขามีความมั่นใจมากขึ้น และกล้าแสดงออกในแบบของตัวเอง”
ทำงานท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ในสังคมออสเตรเลีย ความหลากหลายเป็นเรื่องปกติ นี่ทำให้การทำงานด้าน Drama Therapy ต้องอาศัยความละเอียดอ่อนสูง
“กิจกรรมบางอย่างที่ใช้ได้กับเด็กตะวันตก อาจไม่เหมาะกับเด็กเอเชีย เพราะวิธีเลี้ยงดูและค่านิยมต่างกัน แต่บางครั้งสิ่งที่ใหม่สำหรับเขากลับสร้างประกายหรือแรงบันดาลใจได้”
สำหรับดานา หัวใจของงานนี้คือความ inclusive และการปรับวิธีให้เข้ากับโลกของผู้เข้าร่วม ไม่ใช่การบังคับให้ผู้เข้าร่วมปรับเข้ากับวิธีของนักบำบัด

ดราม่าเทอราปีเป็นการใช้ศิลปะเพื่อการบำบัดให้ผู้คนได้เข้าใจตัวเองลึกขึ้น ในพื้นที่ปลอดภัย
โอกาสในวิชาชีพและผู้อยู่อาศัยถาวรในออสเตรเลีย
แม้ยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจาก Medicare แต่ผู้ที่มีสิทธิ์ NDIS อาจเบิกค่าใช้จ่ายได้ และปัจจุบันสามารถเข้าถึงบริการได้ผ่านโรงเรียน คลินิกเอกชน ศูนย์สุขภาพจิต และโรงพยาบาล
ตลาดงาน Creative Arts Therapy กำลังเติบโต โดยเฉพาะในโรงเรียนและศูนย์สุขภาพ แต่ก็ไม่ง่ายสำหรับบัณฑิตจบใหม่ ดานาชี้ว่า การฝึกภาคสนามหรือ clinical placement จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การจ้างงานจริง
ดานายังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้ที่ต้องการสร้างอนาคตในออสเตรเลีย อาชีพนี้อยู่ในลิสต์ที่สามารถต่อยอดไปสู่การขอ PR (Permanent Residency) ได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น Skilled Independent Visa, Skilled Nominated Visa หรือ Employer-Sponsored Visa