สุขภาพจิตของผู้ชายสำคัญแค่ไหน และพวกเขาจะหันมาใส่ใจเรื่องนี้มากขึ้นอย่างไร?
คุณ ณัชชา ลิมปิอนันต์ชัย นักจิตวิทยา ในนครเมลเบิร์น เปิดเผยว่าสุขภาพจิตของผู้ชายเป็นเรื่องสำคัญมากที่ทุกภาคส่วนควรหันมาใส่ใจ
เพราะจากสถิติโดยรวมผู้หญิงจะเข้าถึงบริการสุขภาพจิตบ่อยกว่าผู้ชาย แต่อัตราการมีปัญหาด้านสุขภาพจิตของผู้ชายกลับมากกว่าผู้หญิงหลายเท่าตัว
ซึ่งสะท้อนว่าผู้ชายหลายคนเมื่อมีปัญหาแต่ไม่ได้รับการแก้ไขจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ เธอชี้ว่า
“สถิติในออสเตรเลียเรตการฆ่าตัวตายประมาณ 75% เป็นผู้ชายซึ่งสูงกว่าผู้หญิงมาก เป็นสัญญาณว่าผู้ชายหลายคนอาจจะไม่โอเค แต่ไม่ได้พูดออกมาหรือขอความช่วยเหลือจนมันบานปลายไปในจุดที่สุขภาพจิตย่ำแย่”
สิ่งหนึ่งที่คุณ ณัชชาชี้ให้เห็นคือ “การที่ผู้ชายถูกห้ามไม่ให้แสดงอารมณ์” ตั้งแต่เด็ก เช่น การห้ามร้องไห้ หรือการมองว่าการเศร้าและกลัวเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับผู้ชาย ซึ่งขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ที่จำเป็นต้องระบายอารมณ์เพื่อเยียวยาจิตใจ
“การแสดงออกทางอารมณ์มันมีเหตุผลที่ธรรมชาติสร้างมา เช่น ถ้าเราเจ็บแล้วร้องไห้ มันไป กระตุ้นสารสื่อประสาท เช่น ออกซิโทซิน เอ็นโดรฟิน”
“และถ้าเด็กผู้ชายอาจจะโดนปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าเป็นผู้ชายอย่าร้องไห้ ห้ามร้องไห้ ซึ่งถ้าเรากดอารมณ์ลงไป อาจทำให้เราไม่รับรู้ความรู้สึกตัวเอง เช่นไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไรจะจัดการอย่างไร”

คุณณัชชา ลิมปิอนันต์ชัย นักจิตวิทยา ในนครเมลเบิร์นชี้มีหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้ชายละเลยการดูแลสุขภาพจิตของตนเอง Credit: Natcha Limpianunchai
เมื่อผู้ชายต้องเป็น "เดอะแบก"
ในสังคมไทยและอีกหลายวัฒนธรรม ผู้ชายมักถูกคาดหวังให้เป็น “ผู้นำครอบครัว” หรือ “ผู้แบกรับความรับผิดชอบทางการเงิน” โดยเฉพาะเมื่อย้ายถิ่นฐานมาอยู่ต่างประเทศ ภาระนี้อาจยิ่งทวีความกดดันเข้าไปอีก
สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้ชายจำนวนมากรู้สึกว่า “ล้มไม่ได้” และ “ต้องแบกทุกอย่างไว้คนเดียว” ณัชชา อธิบายว่า
“การเป็น “เดอะแบก” อาจทําให้ยิ่งรู้สึกว่าไม่สามารถแสดงความเหนื่อยความเครียดหรือพูดความรู้สึกออกมาได้ เช่นอาจจะอยู่ในที่ทํางานที่ toxic หรือว่าทํางานจน burn out แต่ว่าหยุดไม่ได้เพราะว่าหาเงินเลี้ยงครอบครัว หรือถ้ายิ่งมาด้วยวีซ่าทํางานก็ยิ่งหยุดไม่ได้”
อาจจะคิดว่าถ้าไปพบผู้เชี่ยวชาญเป็นการใช้เงินโดยที่ไม่จําเป็น อยากจะเก็บเงินไว้สร้างครอบครัว ก็อาจเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคในการที่รู้สึกว่าล้มไม่ได้หรือขอความช่วยเหลือไม่ได้ณัชชา ลิมปิอนันต์ชัย นักจิตวิทยา
อ่านเพิ่มเติม

ผู้ชายไม่ควรมองข้ามเรื่องสุขภาพจิต
วัฒนธรรมใหม่ กับความรู้สึกที่แปลกแยก
จากวัฒนธรรมไทยที่เน้นการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม (collectivist) มาสู่วัฒนธรรมปัจเจก (individualist) ของออสเตรเลีย
การย้ายถิ่นฐานอาจนำไปสู่ความรู้สึก “โดดเดี่ยว” หรือ “ไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม” ได้ง่าย โดยเฉพาะในผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยกับการแสดงออกทางอารมณ์
“เวลาเจอปัญหา ถ้าไม่มีคนคุย ไม่มีเพื่อน ไม่มีพื้นที่ให้ระบาย ความเครียดจะสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ และอาจกลายเป็นภาวะซึมเศร้าหรือวิตกกังวลโดยไม่รู้ตัว” คุณณัชชาอธิบาย
หรือการย้ายมาอยู่ในสังคมใหม่และต้องเปลี่ยนสายงานหรือทำงานในสิ่งที่ไม่ถนัดหรือตำแหน่งที่เคยทำ อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกด้อยค่าตนเอง หรือมีภาวะกดดัน ซึ่งภาวะนี้เกิดขึ้นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
"มหาวิทยาลัยเมลเบิร์นมีวิจัย ในปี2023 ว่าคนที่ย้ายมาอยู่ต่างประเทศ การที่ทํางานไม่ตรงสายกับที่เคยหรือรู้สึกว่ามันไม่ใช่งานที่ดีหรือไม่มีงานทําส่งผลทางลบต่อสุขภาพจิต"
“แต่ (การทำงานไม่ตรงสาย) เกิดขึ้นแค่ในผู้ชาย ในผู้หญิงเนี่ยไม่ได้ส่งผลทางลบเพราะว่าด้วยความคาดหวังทางสังคมเนี่ย ความรู้สึกมีตัวตนรู้สึกว่ามีค่าของผู้ชายในหลายหลายวัฒนธรรมผูกอยู่กับงานแต่ว่าในผู้หญิงอาจจะมีความไปผูกอยู่กับการเข้าสังคม”
ผู้ชายไม่โอเค แต่ไม่พูด
อาการของปัญหาสุขภาพจิตในผู้ชายอาจไม่ได้มาในรูปแบบของน้ำตา แต่แสดงออกเป็นความหงุดหงิด ก้าวร้าว หรือใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติดเป็นเครื่องมือระบายความเครียด
ผนวกกับการขาดเครือข่ายทางสังคมที่จะรับฟังอาจทำให้ปัญหาไม่ได้รับการรับฟังและแก้ไข
“เวลาผู้ชายอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มแฮงเอาท์กันจะเน้นทํากิจกรรม เช่น เล่นเกม เล่น กีฬา กินดื่ม อาจจะคุยกันระหว่างนั้น แต่ว่ากิจกรรมคือโฟกัสหลัก แต่การมาคุยกับผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพจิตมันคือการคุยเฉยเฉย โดยที่ไม่มีกิจกรรมอะไรเลย มันอาจจะรู้สึกฝืนธรรมชาตินิดนึง” คุณณัชชาชี้
นอกจากกรอบและความคาดหวังของสังคมแล้ว ยังมีอุปสรรคอีกหลายด้าน เช่น การเข้าถึงนักจิตวิทยาที่เป็นเพศเดียวกัน
“ผู้ชายบางคนอาจจะรู้สึกว่าอยากจะคุยกับนักจิตวิทยาหรือหมอที่เป็นผู้ชาย แต่ว่าสมมติว่าอาชีพนักจิตวิทยาเนี่ย มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในออสเตรเลียเนี่ย ratio คือ 4 ต่อ 1 เพราะฉะนั้นการหานักจิตวิทยาที่รู้สึกสบายใจที่จะคุยด้วยได้ หรือว่าเค้าจะ relate กับเราได้ยากขึ้นอาจจะเป็นอีกเหตุผลนึงที่เป็นอุปสรรคสําหรับผู้ชาย”
รู้ได้อย่างไรว่ากำลังมีปัญหาสุขภาพจิต?
คุณณัชชา อธิบายว่า ควรหมั่นสำรวจอารมณ์และร่างกายของตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อจะได้รับการช่วยเหลือและรักษาทันท่วงที
“สัญญาณที่ควรสังเกตมีทั้งด้านอารมณ์ ร่างกาย และพฤติกรรม เช่นอารมณ์เปลี่ยนไป หงุดหงิดง่าย ไม่สนุกกับกิจกรรมที่เคยชอบ นอนหลับยาก หรือนอนมากเกินไป ตื่นมาก็ยังรู้สึกเหนื่อย ดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สารเสพติดมากขึ้น แยกตัวไม่อยากพบปะผู้คน รู้สึกหมดคุณค่า เบื่อหน่าย”
หลายครั้งคนรอบตัวที่สังเกตถึงอาการดังกล่าวแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นบทสนทนาอย่างไร คุณณัชชาแนะนำว่า
“อย่าถามตรง ๆ ว่า ‘ผิดปกติรึเปล่า’ หรือ ‘เป็นอะไรไป’ แต่ให้เริ่มจากความห่วงใย เช่น ‘ช่วงนี้ดูเครียดนะ’ หรือ ‘ไม่ค่อยเห็นไปเล่นกีฬาที่ชอบเลย’
ค่อย ๆ ชวนคุยในสถานการณ์ที่ไม่กดดัน เช่น เดินเล่น หรือทำกิจกรรมร่วมกัน แล้วเปิดโอกาสให้เขาเล่าเอง”
จะสามารถหาความช่วยเหลือจากที่ไหน
ในออสเตรเลียผู้ชายในชุมชนไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพจิตฟรีหรือราคาไม่แพงได้ เช่น
GP (แพทย์จีพี) ซึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการรับคำปรึกษาและแนะนำต่อไปหานักจิตวิทยา
บริการนักจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษา มักมีบริการให้ฟรี
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram