รัฐบาลของแต่ละรัฐและมณฑลของออสเตรเลียเตรียมถูกตรวจสอบจากคณะกรรมาธิการวุฒิสภา โดยจะพิจารณาการบังคับใช้มาตรฐานขั้นต่ำในระบบยุติธรรมเยาวชนและสถานกักกันเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ
โดยมีขอบเขตการไต่สวนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิของเด็กและการปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งรวมถึงสิทธิเด็ก เสรีภาพจากการถูกทรมาน และสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐาน
การสอบสวนครั้งนี้เสนอโดย เดวิด ชูบริจ วุฒิสมาชิกพรรคกรีนส์ และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา โดยจะพิจารณาว่าออสเตรเลียควรกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำระดับชาติสำหรับการดูแลเยาวชนในระบบยุติธรรมหรือไม่ และควรมีแนวทางอย่างไรในการบังคับใช้
มาตรฐานขั้นต่ำดังกล่าวเป็นหนึ่งในข้อเสนอสำคัญจาก แอนน์ ฮอลแลนด์ส์ ผู้ตรวจการสิทธิเด็กแห่งชาติ ซึ่งจะกำหนด “ระดับขั้นต่ำของการควบคุมดูแลที่เป็นที่ยอมรับได้” สำหรับเยาวชนในระบบยุติธรรม
โดยผู้ตรวจการสิทธิเด็กแห่งชาติ ฮอลแลนด์ส์ เสนอรายงานสำคัญของเธอที่มีชื่อว่า “Help way earlier!” ที่เป็นรายงานเกี่ยวกับระบบยุติธรรมและการกักกันเยาวชนและได้ถูกส่งมอบให้รัฐบาลกลางตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว
โดยฮอลแลนด์ส์กล่าวกับเอสบีเอสนิวส์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า
“ฉันรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการตอบสนองหรือดำเนินการใด ๆ จากรัฐบาล”
อ่านเพิ่มเติม

สภาอัยการแผ่นดินเลื่อนแก้กฎหมายเพิ่มอายุรับโทษเยาวชน
เธอกล่าวว่า
“ต้องมีหลักฐานอะไรที่จะทำให้เกิดการลงมือจริง เมื่อเรามีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับเด็กกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในประเทศ? เด็กเหล่านี้คือผู้ที่มีปัญหาร้ายแรง ทั้งด้านสุขภาพจิต ความบกพร่องทางพัฒนาการ ปัญหาการเรียนรู้ และประสบการณ์บอบช้ำทางใจ” เธอกล่าวต่อว่า
“เด็กเหล่านี้จำนวนมากเป็นเหยื่อของความรุนแรงและอาชญากรรมเสียเอง แต่สิ่งที่เราเห็นคือ สังคมกำลังละเลยความรับผิดชอบต่อพวกเขา จนกระทั่งพวกเขาทำผิดกฎหมาย แล้วเรากลับลงโทษอย่างรุนแรง ซึ่งหลายประเทศมีแนวทางเลือกใช้การฟื้นฟูแทนการลงโทษ”
รายงานของ แอนน์ ฮอลแลนด์ส์ ยังเสนอให้มีการจัดตั้ง คณะทำงานระดับชาติ และแต่งตั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงด้านเด็ก (Minister for Children) เพื่อดูแลประเด็นนี้โดยเฉพาะ
เธอกล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงในระบบดูแลเด็กเล็ก (childcare) ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แสดงให้เห็นว่า หากมีเจตจำนงทางการเมืองที่ชัดเจน การเปลี่ยนแปลงในระดับชาติย่อมเกิดขึ้นได้จริง
“แข่งกันใช้ความโหด” รัฐออสเตรเลียถูกวิจารณ์หลังละเมิดสิทธิเด็กในระบบยุติธรรม
วุฒิสมาชิก ชูบริจ ซึ่งเป็นผู้ผลักดันให้มีการรื้อฟื้นการสอบสวนครั้งนี้ กล่าวต้อนรับการตัดสินใจของวุฒิสภา โดยระบุว่านี่คือช่วงเวลาสำคัญที่รัฐบาลกลางควรให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบยุติธรรมเยาวชน
“นี่คือเวลาวิกฤตที่รัฐบาลกลางต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบยุติธรรมเยาวชน ขณะที่รัฐบาลของรัฐและมณฑลต่าง ๆ กำลังละเลยพันธกรณีระหว่างประเทศด้วยการแข่งขันกันเรื่อง ‘ความโหดร้าย’” เขากล่าว
“เราจำเป็นต้องรับฟังเสียงของเยาวชนที่อยู่ในวิกฤตนี้ และต้องรับฟังหลักฐานที่ดีที่สุดเพื่อให้ทั้งเด็กและชุมชนปลอดภัย”
เขาระบุว่า “การทำให้ปัญหายุติธรรมเยาวชนกลายเป็นประเด็นทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง” กำลังส่งผลกระทบต่อเยาวชนชนพื้นเมืองอย่างไม่เป็นธรรม และการสอบสวนครั้งใหม่นี้จะช่วยให้เห็นภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางแก้ไขที่อิงหลักฐานทางวิชาการมากขึ้น
“เด็กที่ถูกกักขังหลายคนกำลังถูกปฏิเสธสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน และรัฐบาลกลางไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับปัญหานี้ได้อีกต่อไป” เขากล่าว
คณะกรรมาธิการวุฒิสภาที่ทำการสอบสวนระบบยุติธรรมเยาวชนและการกักขังในออสเตรเลีย เคยถูกจัดตั้งขึ้นในสมัยก่อนหน้านี้ แต่จัดรับฟังความเห็นสาธารณะเพียงหนึ่งครั้ง ก่อนที่รัฐสภาจะยุติการทำงานเพื่อเตรียมการเลือกตั้งระดับประเทศ
การสอบสวนครั้งนั้นเกิดขึ้นตามญัตติของเดวิด ชูบริจ และมีวุฒิสมาชิกพรรคเสรีนิยม พอล สคาร์ เป็นประธาน ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส นิวส์ เมื่อเดือนเมษายนว่า หลักฐานที่ได้ยินในการประชุมครั้งนั้น “สำคัญและน่าตกใจอย่างยิ่ง”
เขาระบุว่า เด็กและเยาวชนที่อยู่ในสถานกักกันกว่า สามในสี่ เป็นผู้ที่ยังรอการพิจารณาคดี (remand)
“ในจำนวนเยาวชนที่ถูกกักประมาณ 800 คน และมีสัดส่วนเด็กชนพื้นเมืองสูงเกินปกติ ราว 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าตกใจและจำเป็นต้องได้รับการประเมินอย่างจริงจังมากกว่านี้” เขากล่าว
วุฒิสมาชิก สคาร์กล่าวเพิ่มเติมว่า หลักฐานที่น่าตกใจมากที่สุดบางส่วนมาจาก คณะกรรมาธิการสิทธิเด็ก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลระดับรัฐ ดินแดน และรัฐบาลกลาง โดยคณะกรรมาธิการเหล่านี้ “แทบจะพูดเป็นเสียงเดียวกัน” ว่า
“ระบบยุติธรรมเยาวชนของออสเตรเลียอยู่ในภาวะวิกฤตและกำลังล้มเหลวในการปกป้องเด็กและเยาวชน”
ขณะเดียวกัน แม้ว่า ในปีที่แล้วอัยการสูงสุดของรัฐควีนส์แลนด์ เด็บ ฟรีกลิงตัน มีเอกสารคำแนะนำทางกฎหมายที่จัดทำขึ้นให้แก่รัฐบาลรัฐควีนส์แลนด์
โดยในช่วงที่มีการเสนอ กฎหมายปฏิรูปภายใต้แนวคิด ‘Adult time, adult crime’ ระบุว่ากฎหมายดังกล่าวไม่สอดคล้องกับบางส่วนของพระราชบัญญัติสิทธิมนุษยชนของรัฐควีนส์แลนด์
แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกฎหมายดังกล่าวก็ยังผ่านการอนุมัติจากสภารัฐควีนส์แลนด์ได้ในที่สุด
ส่วนนอร์ทเทิร์นเทร์ริทอรี (Northern Territory) ได้ดำเนินนโยบายในทิศทางคล้ายกัน โดยลดอายุความรับผิดทางอาญาจาก 12 ปี เหลือ 10 ปี, นำการใช้อุปกรณ์คลุมศีรษะกันน้ำลาย (spit hoods) ในสถานกักกันเยาวชนกลับมาใช้อีกครั้ง และออกกฎหมายหลายฉบับที่มีแนวทางเข้มงวดในลักษณะ “ปราบอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด” (tough on crime)
อย่างไรก็ตาม แอนน์ ฮอลแลนด์ส์ ระบุว่านโยบายลักษณะนี้กลับยิ่งผลักดันให้เด็กที่อยู่ในกลุ่มเปราะบางเข้าสู่วงจรอาชญากรรมมากขึ้น โดยไม่ได้ทำให้ชุมชนปลอดภัยขึ้นตามที่ตั้งใจ เธอเสนอว่า รัฐควร ลงทุนในสาเหตุรากของปัญหาอาชญากรรม ให้มากขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุข ที่อยู่อาศัย การศึกษา และโครงการที่มุ่งเน้นการเบี่ยงเบนพฤติกรรมและการฟื้นฟูเยาวชน
รัฐบาลกลางออสเตรเลียจ่อใช้มาตรการตัดงบ กดดันรัฐที่ไม่บรรลุเป้าหมาย
ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย มาลาร์นดิรี แม็คคาร์ธี เปิดเผยแนวคิดที่จะใช้ งบประมาณจากรัฐบาลกลางเป็นเครื่องมือกดดัน รัฐและมณฑลต่าง ๆ ที่ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายภายใต้กรอบโครงการ Closing the Gap โดยเฉพาะในประเด็นการกักขังชนพื้นเมือง
เธอกล่าวต่อที่ประชุมวุฒิสภาว่า
“ตนเองกำลังพิจารณาเรื่องการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลกลาง ว่าจะสามารถกำหนดกลไกลงโทษบางอย่างได้หรือไม่ สำหรับกรณีที่รัฐบาลของรัฐไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่ตกลงไว้ได้”
แม็คคาร์ธีกล่าวด้วยว่า ไม่มีข้อสงสัยว่าผลการดำเนินงานของ รัฐควีนส์แลนด์และนอร์เทิรน์เทร์ริทอรี นั้นน่ากังวลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ อัตราการกักขังชนพื้นเมืองและรวมถึงเยาวชนที่สูงมากในนอร์เทิรน์เทร์ริทอรี
ชานซี เพค โฆษกด้านกฎหมายของพรรคแรงงานในนอร์เทิรน์เทร์ริทอรี กล่าวว่าสนับสนุนแนวทางของรัฐมนตรีมาลาร์นดิรี แม็คคาร์ธี
“ผมคิดว่าการเสนอของรัฐมนตรี แม็คคาร์ธี เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีมาตรการลงโทษต่อรัฐหรือมณฑลที่ไม่สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายนั้น ถือว่าเหมาะสมแล้ว” เขากล่าวกับเอสบีเอส นิวส์
ด้านจัสทีน เดวิส สมาชิกสภาอิสระของนอร์เทิรน์เทร์ริทอรีก็เห็นด้วยกับแนวคิดนี้เช่นกัน
“เมื่อต้นปีเราก็ได้ยินจากสภาแห่งดินแดน 4 แห่ง ที่ออกมาเรียกร้องในทำนองเดียวกัน” เธอกล่าว
เดวิสระบุว่า ความเป็นจริงคือนอร์เทิรน์เทร์ริทอรี ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลกลางเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ และเงินจำนวนมากนั้นถูกผูกไว้กับผลลัพธ์เฉพาะ เช่น โครงการ Closing the Gap ซึ่งปัจจุบันยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้
“ฉันคิดว่าถ้ารัฐบาลนอร์เทิรน์เทร์ริทอรี ไม่สามารถบริหารงบประมาณที่ได้รับมาอย่างมีประสิทธิภาพได้ รัฐบาลกลางก็ควรเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือและกำกับดูแล” เธอกล่าว
ขณะที่แอนน์ ฮอลแลนด์ส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รัฐบาลกลางยังสามารถใช้ อำนาจทางกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ เพื่อผลักดันให้มีมาตรฐานที่สูงขึ้นได้เช่นกัน
“แม้ว่ารัฐบาลกลางจะไม่ได้เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อระบบยุติธรรม แต่ตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลกลางมีอำนาจในการดำเนินการในประเด็นสิทธิมนุษยชนของเด็กได้”






