มีรายงานว่ากำลังเกิดวิกฤตสิ่งแวดล้อมตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา หลังตรวจพบสารหนูปริมาณสูงอันตรายในแม่น้ำสายสำคัญหลายสาย
ขณะนี้มีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าการขยายตัวของเหมืองแร่หายากที่ไม่ได้รับการควบคุมในรัฐฉานตอนใต้ของเมียนมา คือสาเหตุของปัญหา
และล่าสุด พบการปนเปื้อนลามเข้าสู่แม่น้ำโขง ด้านนักสิ่งแวดล้อมเตือนว่า สถานการณ์ดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอาจไปทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ที่หมู่บ้านท่าตอน พื้นที่ที่ห่างจากชายแดนไทย–เมียนมาเพียง 3 กิโลเมตร ชีวิตผู้คนที่นี่ผูกพันกับแม่น้ำกกมาตลอดหลายร้อยปี ทั้งเป็นแหล่งจับปลา น้ำเพื่อการเกษตร และเป็นสถานที่เล่นน้ำ คลายร้อนในหน้าร้อน
สำหรับ กบ โกเตคำ นี่คือแม่น้ำที่เขาผูกแพมาตลอดชีวิต โดยที่ผ่านมาเขาไม่เคยล้มป่วยเลย จนกระทั่งถึงตอนนี้

กบ โกเตคำ ชาวบ้านบ้านท่าตอนที่มีอาชีพทำแพ Credit: SBS
“ทุกปีเวลาผมลงไปทำแพ อาจจะมีผื่นขึ้นบ้าง แต่สักอาทิตย์หนึ่งก็จะหายไปเอง แต่คราวนี้ผื่นขึ้นเต็มไปหมด และยังลามต่อเนื่อง คันมาก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนแรกผมนึกว่าแพ้อะไรสักอย่าง คนที่มาช่วยทำแพก็เริ่มป่วยเหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งเป็นแผลแล้วไม่ยอมหาย อีกคนลงน้ำแล้วมีไข้ หลังจากผ่านไปสองเดือนอาการก็ยังไม่ดีขึ้น ผมเลยไปหาหมอครับ”
ถึงตอนนี้ แม่น้ำกกก็เริ่มเปลี่ยนสีเป็นส้มผิดปกติ และมีรายงานจำนวนผู้ป่วยมากขึ้นจนไม่สามารถเพิกเฉยได้
เด็กสองคน อายุเพียง 2 และ 6 ขวบ ป่วย หลังจากกินปลาจากแม่น้ำ ผลตรวจพบสารหนูในร่างกายสูงผิดปกติ ชาวประมงพบปลาตายลอยเกลื่อน และระบุว่าเจอปลามีรูปร่างผิดเพี้ยนไปจากเดิม แม้แต่ช้างที่เคยอาบน้ำในแม่น้ำก็มีอาการผิวหนังเป็นผื่นและตุ่มหนอง
เจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษของไทยเข้ามาตรวจน้ำ และพบปริมาณสารหนูสูงกว่าค่ามาตรฐานถึง 3 เท่า
จากนั้นเทศบาลท้องถิ่นสั่งห้ามชาวบ้านลงไปในน้ำทันที ทำให้แหล่งรายได้หลักของหมู่บ้านต้องหยุดชะงัก และทำให้กบ โกเตคำ ต้องแบกหนี้สินตามมา
“ตอนทำแพ ผมต้องซื้อไม้ ลงทุนไปห้าหมื่นถึงหกหมื่นบาท แต่ปีนี้ไม่มีลูกค้าเลยสักคน ทุกคนเลยเป็นหนี้ ไม่ใช่แค่ผม แต่ทั้งหมู่บ้าน”
ตลอดการตรวจคุณภาพน้ำ 8 ครั้งล่าสุด ยืนยันตรงกันว่าแม่น้ำกกมีสารหนูเกินระดับอันตราย
นักวิจัยจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนจากรัฐฉาน ตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียม และพบเหมืองแร่หายาก 2 แห่งในรัฐฉานตอนใต้ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำกก Credit: SBS
แรกเริ่มหลายฝ่ายเชื่อว่า มาจากเหมืองทองในฝั่งเมียนมา ซึ่งมักเป็นต้นเหตุการปนเปื้อนสารหนู แต่ต่อมานักวิจัยจากมูลนิธิสิทธิมนุษยชนจากรัฐฉาน ตรวจสอบภาพถ่ายดาวเทียม และพบเหมืองแร่หายาก 2 แห่งในรัฐฉานตอนใต้ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำกก
โฆษกกลุ่ม ไซ ฮาร์ก เจต ระบุว่า เหมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ห่างจากแม่น้ำเพียง 2-3 กิโลเมตร และพื้นที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกองทัพว้า กองกำลังติดอาวุธที่ทรงอิทธิพลที่สุดในรัฐฉาน
“เรายังเปรียบเทียบกับเหมืองแร่หายากในรัฐคะฉิ่น พบว่ามีลักษณะบ่อชะล้างเหมือนกัน จึงมั่นใจว่านี่ไม่ใช่การทำเหมืองแร่ธรรมดา แต่เชื่อมโยงกับเหมืองแร่หายากในคะฉิ่นแน่นอน ชาวบ้านเล่าว่าน้ำกลายเป็นสีน้ำตาล และไม่สามารถใช้ได้ แต่ก็ไม่มีทางเลือกใช้จากแหล่งน้ำอื่น และในรัฐฉานเองก็ไม่มีใครกล้าออกมาพูด เพราะเกรงอำนาจท้องถิ่น”
กองทัพสหรัฐว้า ไม่ได้ตอบกลับคำขอสัมภาษณ์ของ SBS
อ่านเพิ่มเติม

หรือโลกจะเหลือแต่สุสานปะการัง
การทำเหมืองแร่หายากใช้สารเคมีเพื่อแยกแร่มีค่าจากหิน ซึ่งจะทิ้งของเหลวปนเปื้อนสูง หากไม่ควบคุมก็จะไหลกลับสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ทางการไทยระบุว่า กำลังเร่งวางแผนติดตั้งบ่อดักตะกอนในแม่น้ำกก เพื่อสกัดสารหนูไม่ให้ไหลลงไปท้ายน้ำ
แต่ผู้นำท้องถิ่นในบ้านท่าตอนกังวลว่า มาตรการนี้อาจไม่เพียงพอ พระมหานิกรม พระในหมู่บ้าน เรียกร้องให้รัฐบาลกลางในกรุงเทพฯ เจรจากับผู้นำทหารเมียนมาโดยตรง เพื่อยุติการทำเหมืองที่ไร้การควบคุมตามแนวชายแดน
ถ้าเราพยายามแก้ปัญหาแค่ฟื้นฟูแม่น้ำแต่ไม่ปิดเหมือง ปัญหาจะไม่หมดไป และถ้ามันแก้ไขไม่ได้ ชุมชนและวิถีชีวิตเราก็จะเปลี่ยนพระมหานิกรม เจ้าอาวาสวัดท่าตอน
พระมหานิกรม เกิดและเติบโตที่บ้านท่าตอน หลังจากย้ายไปศึกษาต่อ ท่านก็กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าตอน วัดบนเนินเขาที่มองเห็นหมู่บ้านและแม่น้ำสายชีวิตของผู้คนที่นี่
พระมหานิกรม เจ้าอาวาสวัดท่าตอน Credit: SBS
“ผมอาบน้ำในแม่น้ำกกตั้งแต่ผมเกิด พอวันที่ได้ยินข่าว ผมขึ้นไปที่สะพานแล้วมองลงไปในน้ำ มันขุ่นมาก ขุ่นจนใจหาย วันนั้นผมรู้สึกเหมือนแม่กำลังนอนอยู่ในห้องไอซียู ส่วนผมยืนอยู่หลังประตู ไม่สามารถพูด ไม่สามารถแตะ ไม่สามารถให้กำลังใจแม่ได้เลย นั่นแหละคือความรู้สึกของผม”
ท่าตอนเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ มีประชากรไม่ถึง 20,000 คน เกือบทุกครอบครัวต้องพึ่งพาแม่น้ำสายนี้ในการดำรงชีวิต
ช่วงหน้าฝนยังพอมีน้ำจากภูเขามาหล่อเลี้ยงพืชผล แต่ไม่นานหมู่บ้านก็ต้องหันกลับมาใช้น้ำจากแม่น้ำอีกครั้ง
ละ บุญเรือง เป็นชาวบ้านท่าตอนอีกคนหนึ่ง อาศัยอยู่บ้านริมน้ำหลังเดิมมากว่า 50 ปี เขาบอกว่าทั้งชีวิตของเขาต้องพึ่งพา การทำไร่ทำนาและหาปลาในแม่น้ำ
“เมื่อก่อนถ้าน้ำไม่พอ เราก็ไปตักน้ำจากแม่น้ำกก มารดนาได้ แต่ตอนนี้มันอันตรายเกินไป กระทบทุกคน ไม่ใช่แค่คนเดียว ไม่ใช่แค่ทั้งหมู่บ้าน แต่ทั้งเป็นแม่น้ำทั้งสาย ไม่ว่าจะยาวกี่กิโลเมตรก็ตาม”
และตอนนี้การปนเปื้อนลุกลามไกลกว่านั้นแล้ว เพราะแม่น้ำกกเป็นแม่น้ำที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง แหล่งน้ำสำคัญที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งขณะนี้ตรวจพบสารหนูเกินมาตรฐานเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ ทางการไทยได้เก็บตัวอย่างน้ำจาก 3 จุด ครอบคลุมระยะทางราว 20 กิโลเมตรตามลำน้ำโขง ผลที่ได้ทุกจุดพบสารหนูเกินค่าปลอดภัย
ที่บ้านสบกก หมู่บ้านเล็ก ๆ ห่างจากชายแดนเมียนมาราว 15 กิโลเมตร สมเดช ธนาธุระยกุล ชาวประมงท้องถิ่น บอกว่า เริ่มพบปลามีความผิดปกติในอวนทุกวัน

ละ บุญเรือง ชาวบ้านท่าตอนบอกว่าทั้งชีวิตของเขาต้องพึ่งพา การทำไร่ทำนาและหาปลาในแม่น้ำ Credit: SBS
“พอเราเห็นมีปลาที่มีรอยแผล เราก็ไม่กล้ากิน เลยเอาไปตรวจ ผลออกมาว่ามีสารหนู คนซื้อก็ไม่กล้ากินปลาเพราะข่าวที่ออกมา เมื่อก่อนผมหาเงินได้วันละพันกว่าบาท แต่ตอนนี้ทั้งสัปดาห์ยังไม่ถึงสามร้อย”
หลักฐานชี้ชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าวิกฤตครั้งนี้มีต้นตอมาจากเหมืองแร่หายาก
รัฐบาลไทยได้มอบหมายให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ฐานพล เพ็ญรัตน์ จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ศึกษาตรวจสอบคุณภาพน้ำ
“เรานำตัวอย่างน้ำ ดิน ตะกอน รวมทั้งพืชกินได้และปลา จาก 5 สถานีในจังหวัดเชียงราย มาวิเคราะห์ พบธาตุหรือไอออนประมาณ 15 ชนิด จากนั้นเรานำ ‘ลายนิ้วมือทางเคมี’ หรืออัตราส่วนของธาตุแต่ละชนิด ไปเปรียบเทียบกับตัวอย่างน้ำจากเหมืองแร่หายากในรัฐคะฉิ่น แม้ความเข้มข้นในไทยจะต่ำกว่า แต่สัดส่วนของธาตุกลับใกล้เคียงกันมาก สิ่งนี้ชี้ให้เห็น หรืออย่างน้อยก็ระบุได้ว่า ปัญหาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการทำเหมืองแร่หายาก”
จากการทำแผนที่ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA พบพื้นที่ดินถูกรบกวนจากกิจกรรมที่น่าสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการทำเหมืองในรัฐฉานแล้ว 60 จุด ในจำนวนนี้ 21 จุดเพิ่งเริ่มมีความเคลื่อนไหวในปีนี้
แม้การทำแผนที่จะไม่แยกความต่างระหว่างเหมืองทั่วไปกับเหมืองแร่หายาก แต่มูลนิธิสิทธิมนุษยชนฉานระบุว่า ตรวจพบเหมืองแร่หายากทั้งหมด 47 แห่งในรัฐฉาน
หลายแห่งตั้งอยู่ใกล้พรมแดนจีน ซึ่งในปี 2023 มีการนำเข้าแร่หายากจากเมียนมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เกือบ 42,000 เมตริกตัน
รองศาสตราจารย์ฐานพล เพ็ญรัตน์ ระบุว่า ระดับสารหนูที่ตรวจพบในแม่น้ำโขงยังคงต่ำกว่าที่พบในแม่น้ำสาขา 3 สาย ที่ไหลมาจากรัฐฉาน ได้แก่ แม่น้ำกก แม่น้ำทราย และแม่น้ำรวก แต่เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ผลกระทบที่แท้จริงยังมาไม่ถึง
“มลพิษต้องใช้เวลาในการเคลื่อนตัว อย่างสารหนูหรือสารตะกั่ว มักอยู่ในอนุภาคเล็ก ๆ หรือตะกอนในแม่น้ำ ซึ่งเคลื่อนที่ช้ากว่าน้ำ มันจะก่อตัวเพิ่มขึ้น เป็นตะกอนมากขึ้น แล้วค่อย ๆ เคลื่อนเป็นระลอก ๆ ผลกระทบจึงจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะนี้สถานการณ์ยังไม่ถึงจุดคงที่”
แม่น้ำโขงคือจุดบรรจบของแม่น้ำหลายสายทั้งจาก ไทย ลาว และเมียนมา ก่อนจะไหลต่อเข้าสู่กัมพูชาและเวียดนาม หล่อเลี้ยงผู้คนกว่า 60 ล้านชีวิตทั้งการประมง เกษตร และน้ำดื่ม ก่อนจะไหลลงสู่ทะเลจีนใต้
เปี่ยนพร ดีเทศ นักสิ่งแวดล้อมจากองค์กร International Rivers เตือนว่า การปนเปื้อนอาจลุกลามไปไกลถึงขนาดนั้น หากไม่สามารถควบคุมได้ทันเวลา
นี่คืออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยพบ มันคือผลกระทบรุนแรงระยะยาวเปียนพร ดีเทศ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
"ผลกระทบอาจไม่เห็นใน 1-2 ปี แต่อาจปรากฏในอีก 3, 5 หรือ 10 ปีข้างหน้ากับเด็กที่เกิดใหม่ เรื่องที่น่ากังวลที่สุดคือสาธารณสุข เราไม่อยากเห็นคนรุ่นหลังต้องล้มป่วย”
เปียนพร ดีเทศ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเตือนว่าการปนเปื้อนอาจลุกลามไปไกลมากหากไม่สามารถควบคุมได้ทันเวลา Credit: SBS
ปัจจุบัน จีนควบคุมเหมืองแร่หายากราว 70% ของโลก และครองสัดส่วนการถลุงและแปรรูปสูงถึง 90% เพื่อนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่สมาร์ทโฟน ระบบอาวุธ ไปจนถึงแบตเตอรี่แบบชาร์จได้
เมื่อเดือนมิถุนายน สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงเทพฯ ตอบประเด็นนี้ในรายงานการปนเปื้อน โดยระบุว่า “จีนได้กำชับบริษัทจีนที่ดำเนินงานในต่างประเทศให้ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น ๆ และดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสมอ”
แต่เปี่ยนพร ดีเทศ ชี้ว่า เหมืองจำนวนมากตั้งอยู่นอกพื้นที่ควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมา ทำให้แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับใช้กฎหมายสิ่งแวดล้อมใด ๆ
“สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัยใด ๆ เลย และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของหายนะ เราได้บทเรียนจากรัฐคะฉิ่น ที่มีเหมืองถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายกว่า 300 แห่ง โดยมีนักลงทุนจากจีนหรือกลุ่มที่พูดภาษาจีนอยู่เบื้องหลัง ต้นน้ำของเรา ตอนนี้ยังมีไม่กี่แห่ง"
"ถ้าไม่มีการดำเนินการจากรัฐบาล มันก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และต้นทุนที่ต้องจ่ายก็คือ แม่น้ำ ป่า ที่ดิน และอนาคตของพวกเรา”