คำถาม - กรณีเรื่องคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับสมเด็จฮุนเซน มีท่าทีจากนักวิชาการและฝ่ายการเมืองอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับคลิปเสียงที่ถูกปล่อยออกมา
ประเด็นร้อนตั้งแต่ช่วงบ่ายเมื่อวาน ที่มีการปล่อยคลิปเสียงความยาวประมาณ 17 นาที หลุดออกมาในโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร และ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ก็สะเทือนเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างมาก
โดยผู้ที่ปล่อยตลิปเสียงนี้ คือตัวของ สมเด็จฯ ฮุน เซน เอง
แม้ว่าต่อมานายกฯ จะแถลงว่าเป็นเทคนิคส่วนหนึ่งของการเจรจา และตำหนิสมเด็จฮุนเนตว่า คิดถึงแต่เรื่องของคะแนนความนิยม ไม่นึกถึงเรื่องความสัมพันธ์ การปล่อยคลิปนี้ออกมา เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม แต่การแถลงของนายกรัฐมนตรีอาจจะยังไม่เพียงพอต่อความรู้สึกของสังคม
ผศ. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวว่า นี่คือจุดอ่อนของนายกฯ แพทองธาร และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่คิดว่าเรื่องปัญหาความขัดแย้งไทยกับกัมพูชา เป็นเรื่องที่คุยกันได้ ประมาทต่อสถานการณ์
จนกลายมาเป็นเรื่องร้อนของรัฐบาล แม้นายกรัฐมนตรีแพทองธารจะออกมาแถลงข่าวอย่างรวดเร็วหลังจากคลิปเสียงดังกล่าวถูกเผยแพร่ แต่แค่นี้ อาจยังไม่พอ
คลิปเสียงบทสนทนาดังกล่าว เป็นการคุยกันส่วนตัว คุยหลังไมค์ แต่กลายเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมากที่สุด เสียงที่ออกมานั้น เป็นเรื่องที่เสียหายต่อรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี และดูเหมือนวาสสมเด็จฯ ฮุน เซน จะรู้ว่าการเมืองไทยตอนนี้เป็นอย่างไร
นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวานิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และสส.ของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า การปล่อยคลิปดังกล่าวออกมาถือเป็นวิธีการสกปรกที่ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่เคารพกติกา
ผู้ปล่อยคลิปเสียง มีแต่ความกระหายสงคราม กระหายคะแนนนิยม ให้เกิดความแตกแยก โดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดกับประชาชนทั้งสองประเทศ
รัฐบาลเข้าใจถึงความรู้สึกไม่สบายใจของประชาชนคนไทยที่ได้ฟัคลิปการสนทนา และยอมรับว่าหลายประเด็นมีความอ่อนไหว แต่ขอยืนยันว่าทั้งหมดเป็นไปเพื่อความสงบสุขของประเทศชาติ
บางประเด็นที่ต้องพูดเพราะต้องการให้ฮุนเซนหยุดความบ้าคลั่ง หยุดสร้างความปั่นป่วน หยุดก่อสงครามเพื่อสนองผลประโยชน์ของตนเอง
น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นะบุว่า นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ยืนยันมาตลอดว่า ต้องการใช้สันติวิธีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา รักษาอธิปไตยของประเทศไทย
โดยที่ประชาชนปลอดภัย และได้รับผลประโยชน์สูงสุด โดยใช้วิธีการเจรจาพูดคุยเพื่อสร้างสันติภาพ ทั้งในรูปแบบทางการและไม่เป็นทางการ
แต่การนำคลิปเสียงการเจรจาระหว่างผู้นำสองประเทศมาเปิดเผยนั้น ผิดมารยาททางการทูต เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปิดประตูการเจรจา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี
คำถาม- ผลพวงจากคลิปเสียงดังกล่าวได้ส่งผลสะเทือนต่อนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างไรบ้าง และมีความเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นบ้าง ที่ทำให้รัฐบาลสั่นคลอน
จะมีความเคลื่อนไหวจากหลายภาคส่วนต่อจากนี้ เพื่อจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแพทย์ทนทานชินวัตรรับผิดชอบกับกรณีคลิปเสียงสนทนา
เริ่มจากวันนี้ คณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา ที่มี พล.อ.สวัสดิ์ ทัศนา เป็นประธาน กมธ. นัดแถลงข่าว เตรียมยื่นคำร้องเอาผิดนายกรัฐมนตรี
โดยระบุว่า มีถ้อยคำในบทสนทนาหลายช่วงที่นายกฯ สื่อสารเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญในหลายมาตรา
ส่งผลต่อการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเห็นว่าการตำหนิผู้นำทหาร (พล.ท.บุญสิน พาดกลาง มทภ.2) ถือเป็นการสร้างความแตกแยกในชาติ
และยังเป็นการกระทำที่เข้าข่ายไม่ซื่อสัตย์สุจริตและละเมิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงของผู้ดำรงตำแหน่ง ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยทาง สว. จะเข้าชื่อยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เพื่อให้ตรวจสอบจริยธรรมของนายกรัฐมนตรี และเสนอถอดถอนออกจากตำแหน่ง
ซึ่งถ้าจำกันได้ ก่อนหน้านี้นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยถูกยื่นร้องเรื่องจริยธรรมมาแล้ว แนะนำไปสู่การวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นนักร้องเรียนคนสำคัญ ได้ยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.
เพื่อให้ตรวจสอบนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตรว่ามีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ อันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) หรือไม่
และเข้าข่ายเป็นเหตุให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 (4) หรือไม่
ซึ่งหากกกต. พิจารณาแล้วเห็นว่ามีมูลตามคำร้องของนายเรืองไกร ก็ต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรีสิ้นสุดสภาพการเป็นรัฐมนตรีต่อไป
ขณะที่ทางฟากฝั่งของฝ่ายการเมือง ก็เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแพทองธารรับผิดชอบกับสถานการณ์
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุติ ผู้นำฝ่ายค้าน เรียกร้องให้นายกฯ แสดงความรับผิดชอบทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน
และป้องกันไม่ให้บุคคลบางกลุ่มปลุกปั่นความผิดพลาดของนายกฯ บานปลายไปสู่สถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อระบบประชาธิปไตย
สอดคล้องกับนายปิยบุตร แสงกนกกุล กับ น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า ที่เรียกร้องให้ยุบสภาฯ เพื่อแก้วิกฤตการเมืองในระยะสั้น ทั้งของประเทศและของพรรคเพื่อไทยเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถึงทางตันนำไปสู่เหตุการณ์รัฐประหาร
ส่วนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เขาออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
คำถาม- ข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบต่อสถานการณ์ในครั้งนี้ หลักๆจะมีเรื่องยุบสภาและลาออก แนวทางต่างๆเหล่านี้มีรายละเอียดของข้อกฎหมายอย่างไรบ้าง
สถานการณ์ทางการเมืองของรัฐบาล “แพทองธาร ” เข้าสู่จุดเปราะบางอย่างยิ่ง หากจะเดินหน้าบริหารงานต่อไป ก็ยังสามารถทำได้
เพราะยังมีเสียงสส. ร่วมรัฐบาลเกินครึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แต่เกินครึ่งไปเพียงไม่กี่เสียง นับว่าเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อาจจะต้องบริหารประเทศภายใต้ภาวะกดดัน
ส่วนอีก 2 แนวทางทั้งเรื่องของการยุบสภาและการลาออก ก็จะมีข้อกฎหมายและบริบททางสังคมที่แตกต่างกัน
กรณีประกาศยุบสภา จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งในมาตรา 103 ของรัฐธรรมนูญ บัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการยุบสภาไว้ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่
และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้มีการเลือกตั้งใหม่มีผลบังคับใช้
ซึ่งกรณีนี้ กกต. จะต้องเตรียมงบประมาณที่จะใช้ในการเลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท และช่วงระหว่างรอรัฐบาลใหม่ อาจทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณสะดุดบ้าง เนื่องจากตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569
ส่วนกรณีที่นายกฯ ประกาศลาออก ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 159 บัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคล ซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ด้วยการเสนอให้สส.โหวตเห็นชอบ
โดยชื่อนั้นจะต้องอยู่ในบัญชีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคการเมืองที่มี สส.ไม่น้อยกว่า 25 คนขึ้นไป และชื่อที่ถูกเสนอจะต้องมี สส.ยกมือรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของ สส.ที่มีอยู่ของสภาฯ หรือ 50 คน และจะต้องมีการลงมติเห็นชอบโดยเปิดเผย
สำหรับรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ถูกเสนอชื่อก่อนหน้านี้ มีทั้งหมด 6 คน ได้แก่ 1.นายอนุทิน ชาญวีรกุล จากพักภูมิใจไทย , 2.นายชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย , 3.พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ , 4.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ, 5.นายพีรพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จากพรรครวมไทยสร้างชาติ และ 6. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากพรรคประชาธิปัตย์
แต่จากรายชื่อที่เหลือทั้ง 6 คนนั้น มีเพียง 4 คนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในครั่งนี้ได้ หากนายกฯแพทองธาร ลาออก
เพราะ พล.อ.ประวิตร และ นายจุรินทร์ ถูกตัดสิทธิ์ เนื่องจากมีสส. ไม่ถึงเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด คือได้เสียง สส.ไม่ถึง 25% ของ สส.ที่มีอยู่.