เรเชล บอส เป็นครูสอนหนังสือกว่า 20 ปี และหลงใหลงานด้านการศึกษาของชาวอะบอริจิน
แต่ในฐานะหญิงชาวคอว์นรา เธอกล่าวว่าเส้นทางอาชีพครูของเธอต้องเผชิญกับการเหยียดเชื้อชาติมาโดยตลอด
“ฉันไม่ได้รับโอกาสให้เลื่อนขั้น เพราะเขาอยากให้ฉันอยู่ในห้องเรียนต่อไป เนื่องจากฉันทำงานกับเด็กอะบอริจินได้ดีมาก ฉันถูกให้ไปสอนวิชาที่ไม่ใช่วิชาที่ฉันสอน เพราะตรงนั้นมีเด็กอะบอริจินอยู่ รวมถึงเวรเฝ้าลานเด็กเล่นด้วย”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

อะไรคือการเลือกปฏิบัติในที่ทำงาน และคุณควรทำอย่างไรเมื่อตกเป็นเหยื่อ
เธอบอกว่า การเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานเป็นเรื่องจับต้องยาก เพราะมักเกิดจากการกระทำเชิงคุกคามที่เกิดขึ้นซ้ำๆ (micro-aggression)
สุดท้าย เมื่อเหตุการณ์เหล่านี้สะสมขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2019 เธอรับไม่ไหวอีกต่อไป หลังเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งพูดล้อเล่นเกี่ยวกับเธอ
“ตอนนั้นฉันกำลังถ่ายเอกสารบทกลอนอยู่ที่เครื่องถ่ายเอกสาร ฉันก้มๆ เงยๆ อยู่ เพราะกระดาษติดเครื่องแล้วมันไม่ทำงาน เพื่อนร่วมงานเดินผ่านมาแล้วพูดว่า ‘เรเชล เครื่องถ่ายเอกสารไม่ทำงานวันนี้ มันต้องเป็นเพราะมันดำแน่ๆ’”
เธอลาออกทันทีในสัปดาห์นั้น
และไม่ได้กลับไปที่ห้องเรียนอีกเลย
โดยปกติมันก็คงจะถูกปล่อยผ่านเหมือนน้ำกลิ้งบนใบบัว แต่สิ่งที่สำคัญที่หลายคนควรเข้าใจก็คือ การเหยียดเชื้อชาติมันเหมือน ‘ความตายจากบาดแผลพันครั้ง’ เรื่องเล็กๆ ที่สะสมขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งเหตุการณ์ใหญ่ๆ ทุกอย่างมันถาโถมจนคุณรับไม่ไหวในที่สุดบอสอธิบาย

ราเชล บอส เล่าถึงประสบการณ์ถูกเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงาน
โดยที่ประชุมระบุว่า อัตราการเหยียดเชื้อชาติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น เนื่องจากโควิด-19 การลงประชามติเสียงชาวพื้นเมือง เหตุโจมตี 7 ตุลาคม และถ้อยคำทางการเมืองที่ต่อต้านชาวอินเดีย
คีรีธรัน ศิวารามันกล่าวว่า แม้สังคมจะรู้ถึงผลกระทบด้านลบ แต่ยังไม่มีภาพรวมว่าการเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานสร้างความเสียหายได้มากเพียงใด
“การเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานเป็นเหมือนโรคร้าย มันกระทบคนทุกช่วงของเส้นทางการจ้างงาน กระทบตั้งแต่ตอนที่คนมาจากต่างประเทศแล้วคุณวุฒิไม่ถูกยอมรับ ถ้าชื่อไม่ใช่ชื่อแบบอังกฤษก็ไม่ได้รับเรียกสัมภาษณ์งาน หรือรู้สึกไม่ปลอดภัยทางวัฒนธรรมในที่ทำงาน แต่เรายังไม่รู้ขอบเขตที่แท้จริงว่า มันกระทบชีวิตผู้คนอย่างไรบ้าง เรารู้แต่ว่ามันลดทอนคุณค่าคนและทำลายเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมของเรา แต่เราควรเรียนรู้ถึงผลกระทบให้มากขึ้น”
ภายใต้พระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ (Race Discrimination Act) ได้ ประชาชนสามารถร้องเรียนได้ แต่คณะกรรมการฯกล่าวว่านั่นเป็นเพียงภาพย่อยของสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ศิวารามันกล่าวว่า การเหยียดเชื้อชาติในเชิงระบบกำลังขัดขวางไม่ให้คนเติบโตในอาชีพ และข้อมูลมักไม่ครบถ้วน เพราะคนไม่กล้าออกมาพูดหรือไม่รู้ช่องทางร้องเรียน
“เรายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะรู้ว่าการเหยียดเชื้อชาติกระทบคนกลุ่มไหนมากที่สุด เรารู้แค่ภาพรวมว่ากลุ่มใดมีความเสี่ยง แต่เราต้องการทำการสอบสวนเพื่อฟังเรื่องราวของผู้คน ระบุอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องเข้าไปแก้ไขก่อน”

“การเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานเป็นเหมือนโรคร้าย มันกระทบคนทุกช่วงของเส้นทางการจ้างงาน" เสียงจากการประชุมที่แคนเบอร์รา Credit: Photo by RF._.studio from Pexels
“และฉันดีใจที่เห็นว่า หลังจากรายงานถูกเผยแพร่มา 5 ปี ข้อเสนอทั้ง 45 ข้อถูกนำไปปฏิบัติทั้งหมด และมันได้เปลี่ยนชีวิตคนทำงานที่เคยถูกคุกคามในที่ทำงาน มันช่วยป้องกันการคุกคามด้วย มีสิ่งที่ต้องทำอีกมากก็จริง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ถือว่าเปลี่ยนไปในทางที่ดี”
เธอกล่าวว่า สหภาพได้รับเรื่องร้องเรียนจากทุกอุตสาหกรรม โดยเฉพาะแรงงานต่างชาติในพื้นที่ภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบด้วยการเหยียดเชื้อชาติ
และเธอมองว่าการสอบสวนระดับชาติจะสร้างผลดีต่อสังคมออสเตรเลีย
เราคิดว่าการสอบสวนเรื่องการเหยียดเชื้อชาติในที่ทำงานมีศักยภาพที่จะทำแบบเดียวกัน คือเปิดประเด็นออกมา ทำให้เข้าใจปัญหา สามารถพัฒนากลยุทธ์เพื่อจัดการ และเปลี่ยนชีวิตคนทำงานกับสถานที่ทำงานให้ดีขึ้นโอนีลกล่าว









