ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขแสดงความกังวลต่อความเชื่อและพฤติกรรมของคนวัยเจริญพันธุ์บนโซเชียลมีเดีย งานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยลาโทรบ (La Trobe University) พบว่ามีข้อมูลผิดๆ เกี่ยวกับการคุมกำเนิด ที่กำลังแพร่หลายบนแพลตฟอร์ม TikTok
หญิงรายหนึ่งเล่าประสบการณ์ของตนเองผ่าน TikTok ว่า เธอเลือกใช้ห่วงอนามัยชนิด ไคลีนา (Kyleena) ซึ่งมีขนาดเล็กมาก และเข้ารับการใส่ที่คลินิกโดยไม่รู้สึกเจ็บปวด พร้อมบอกว่าห่วงอนามัยนี้แทบไม่รู้สึกว่ามีอยู่ในร่างกาย และช่วยเปลี่ยนชีวิตของเธอไปในทางที่ดี แม้จะเคยเห็นหลายคนเล่าประสบการณ์ด้านลบก็ตาม
ในอีกด้านหนึ่ง ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งซึ่งแนะนำตัวว่าเป็นโค้ชด้านสุขภาพแบบองค์รวม เล่าว่า สิ่งที่เธออยากรู้ก่อนหยุดใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนเมื่อสิบปีก่อน คือปัญหาสุขภาพเดิมอย่างสิวฮอร์โมนและประจำเดือนที่ปวดรุนแรง จะกลับมาอีก และอาจรุนแรงยิ่งกว่าเดิม
และการถกเถียงเรื่องการคุมกำเนิดยังคงร้อนแรงบนแพลตฟอร์ม TikTok
สูตินรีแพทย์รายหนึ่งเผยผ่าน TikTok ว่า “วิธีคุมกำเนิดที่แย่ที่สุด คือวิธีที่ไม่เหมาะกับคุณ” พร้อมอธิบายว่า แม้ห่วงอนามัยจะมีประสิทธิภาพสูง แต่หากผู้ใช้ไม่ต้องการหรือไม่ชอบ ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดี
เช่นเดียวกับยาคุมกำเนิดที่ได้ผลดีหากรับประทานอย่างถูกต้องทุกวัน แต่ถ้าจำไม่ได้หรือรับประทานไม่สม่ำเสมอ ก็อาจไม่ได้ผล พร้อมย้ำว่าการคุมกำเนิดที่ดีที่สุด
คือวิธีที่ผู้ใช้ต้องการ เหมาะกับวิถีชีวิต และสามารถเข้าถึงได้ ดร.เจนนิเฟอร์ ลินคอล์น สูตินรีแพทย์จากเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน สหรัฐอเมริกา กล่าวในคลิป TikTok เมื่อปี 2023
งานวิจัยที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2025 โดยมหาวิทยาลัยลาโทรบ ได้วิเคราะห์วิดีโอ TikTok จำนวน 100 คลิปเกี่ยวกับสุขภาพการคุมกำเนิด ระหว่างเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2023 โดยใช้แฮชแท็ก #birthcontrol, #contraception, #thepill, #naturalbirthcontrol และ #cycletracking
นักวิจัยยอมรับว่าการศึกษานี้มีข้อจำกัด เช่น ความเสี่ยงของอคติจากการคัดเลือกตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ค่อนข้างเล็ก และการใช้เฉพาะวิดีโอภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาดังกล่าว วิดีโอเหล่านี้มียอดเข้าชมรวมเกือบ 5 พันล้านครั้ง (4.85 พันล้านครั้ง) และมียอดกดถูกใจ 14.6 ล้านครั้ง
ผลการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Perspectives on Sexual and Reproductive Health พบว่า มีเพียงร้อยละ 10 ของวิดีโอตัวอย่างที่จัดทำโดยบุคลากรทางการแพทย์
นักวิจัยยังพบว่า มากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 53 ของผู้สร้างคอนเทนต์บน TikTok แสดงท่าทีปฏิเสธการคุมกำเนิดแบบใช้ฮอร์โมนอย่างชัดเจน ขณะที่ประมาณร้อยละ 34 แสดงความไม่ไว้วางใจต่อบุคลากรด้านสุขภาพ
เมแกน บักเดน อาจารย์ด้านสาธารณสุข และผู้เขียนร่วมรายงานของมหาวิทยาลัยลาโทรบ กล่าว
เธอยังระบุว่า คำแนะนำจำนวนมากบน TikTok มักอ้างอิงจากประสบการณ์และความเชื่อส่วนตัว มากกว่าจะมาจากคำแนะนำหรือหลักฐานทางการแพทย์
"นี่เป็นโอกาสสำคัญที่ผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขจะเข้ามามีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ถูกต้อง เชื่อถือได้ ไม่ตัดสินผู้อื่น และเข้าถึงได้ง่ายสำหรับคนหลากหลายกลุ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ยังควรร่วมมือกับผู้สร้างเนื้อหาออนไลน์ที่ได้รับความไว้วางใจและมีฐานผู้ติดตามจำนวนมากในกลุ่มเยาวชน เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาได้รับข้อมูลที่เป็นกลาง ซึ่งจะช่วยสร้างความเข้าใจและส่งผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการคุมกำเนิดอย่างรอบด้าน
เธอกล่าวเสริมว่า แม้ว่าวิดีโอจากบุคลากรทางการแพทย์จะมียอดกดถูกใจและผู้ติดตามเฉลี่ยสูงกว่า แต่ระบบอัลกอริทึมของ TikTok กลับช่วยขยายเสียงของอินฟลูเอนเซอร์ให้เข้าถึงผู้ชมได้กว้างกว่าผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
บักเดนระบุว่า อินฟลูเอนเซอร์ส่วนใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มตัวอย่างต่างสนับสนุนวิธีคุมกำเนิดแบบธรรมชาติ หรือที่รู้จักกันว่า “การสังเกตภาวะเจริญพันธุ์” (fertility awareness) อย่างชัดเจน
บักเดนยกตัวอย่างให้เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมวิดีโอเหล่านี้จึงไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในตัวเอง โดยอ้างถึงกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นต่อการคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมน
แต่เนื้อหาในวิดีโอกลับไม่เปิดเผยข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้น เช่น ความตั้งใจของผู้ใช้ ความร่วมมือจากคู่สมรสหรือคู่นอน และความแตกต่างทางชีวภาพของแต่ละบุคคล
อาจารย์ด้านสาธารณสุขจากมหาวิทยาลัยลาโทรบรายนี้ระบุว่า สิ่งที่น่ากังวลคือ การนำเสนอข้อมูลที่เน้นย้ำความน่าเชื่อถือของวิธีคุมกำเนิดดังกล่าวมากเกินไป โดยละเลยที่จะกล่าวถึงความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ หรือการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อ่านเพิ่มเติม
มะเร็งรังไข่มัจจุราชเงียบ
เธอกล่าวด้วยว่า สื่อสังคมออนไลน์กำลังเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการด้านสุขภาพกับผู้ป่วยไปอย่างสิ้นเชิง
บักเดนย้ำว่า เยาวชนควรตระหนักว่าข้อมูลจำนวนมากบนโลกออนไลน์อาจทำให้เข้าใจผิด ไม่ครบถ้วน หรือมีอคติ พร้อมแนะนำให้ตั้งคำถามถึงที่มาของข้อมูลอยู่เสมอ
ว่าอะไรอาจเป็นปัจจัยที่อาจหล่อหลอมความเห็นของผู้เผยแพร่ และตรวจสอบว่าผู้เผยแพร่ได้ใส่แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อค้นคว้าต่อ หรือหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างที่นำเสนอหรือไม่
รายงานวิจัยระบุว่า TikTok ถือเป็นโอกาสสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลการคุมกำเนิดที่ถูกต้องและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน โดยไม่ขึ้นอยู่กับภูมิหลังหรือทรัพยากรของแต่ละบุคคล
บักเดนกล่าวว่า ด้วยการเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างของ TikTok องค์กรด้านสตรีและสาธารณสุขจึงมีบทบาทสำคัญในการรับมือกับข้อมูลผิดเกี่ยวกับการคุมกำเนิด
อย่างไรก็ตาม เธอเตือนให้ประชาชนหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ และไม่ควรเชื่อเพียงเพราะมีคนอ้างว่าเป็นแพทย์หรือสวมเสื้อกาวน์ เธอยังแนะนำด้วยว่า ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวอยู่เสมอ
โดยนำข้อมูลหรือแนวคิดที่พบทางออนไลน์ไปพูดคุยกับแพทย์ เพื่อสอบถามถึงความน่าเชื่อถือและความถูกต้อง พร้อมขอหลักฐานอ้างอิง นอกจากนี้ยังสามารถขอให้แพทย์แสดงแนวทางปฏิบัติทางคลินิก (clinical guidelines) ที่เกี่ยวข้องกับคำแนะนำทางการแพทย์ที่เสนอได้เช่นกัน
หมายเหตุ: TikTok ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอสนิวส์ แต่ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้