สงครามชายแดนในกระแสสื่อ: จากแนวรบสู่สนามข่าว

หลังการประชุมพิเศษของอาเซียนที่มาเลเซีย (28 ก.ค.) ไทยและกัมพูชาบรรลุข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนบทบาทของอาเซียนในห้วงเวลาวิกฤต เอสบีเอสไทย พาไปสำรวจบทวิเคราะห์ของ นวลน้อย ธรรมเสถียร ในประเด็นที่ว่าภาวะสงครามไม่ได้เกิดขึ้นแค่แนวรบ แต่ยังลุกลามสู่สมรภูมิข้อมูลและโซเชียลมีเดีย พร้อมตั้งคำถามถึงบทบาทของสื่อและสังคม ในวันที่ข่าวสารอาจกลายเป็นอาวุธ

Thailand Cambodia

นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา (ซ้าย) และนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทย (ขวา) จับมือกันต่อหน้านายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ทั้งสามผู้นำเข้าร่วมการเจรจาหยุดยิงซึ่งประสบความสำเร็จ (28 ก.ค.) Source: AP / Mohd Rasfan/AP

ชญาดา พาวเวลล์ —เอสบีเอสไทย

ในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาที่ปะทุขึ้นเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2025 จนมาถึงข้อตกลงหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไขที่เกิดขึ้นภายหลังการประชุมพิเศษของอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียเป็นเจ้าภาพ (28 ก.ค.)

ข้อตกลงดังกล่าวกลายเป็นหมุดหมายสำคัญของภูมิภาคในช่วงเวลาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกแต่ท่ามกลางการเจรจาระดับสูง

นอกจากสมรภูมิรบแล้วยังมีอีกสมรภูมิที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน นั่นคือสมรภูมิของข่าวสารและข้อมูล

เอสบีเอสไทยพูดคุยกับ นวลน้อย ธรรมเสถียร สื่อมวลชนอิสระผู้คร่ำหวอดในสนามข่าวมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 และเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกบีบีซีไทยตั้งแต่ยุควิทยุ และปัจจุบันกำลังทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เพื่อสำรวจว่าความขัดแย้งในวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงที่แนวรบ แต่ยังแผ่ขยายไปในพื้นที่ข่าว พื้นที่ออนไลน์ อารมณ์สาธารณะของสังคมไทย
และเราทุกคนจะมีส่วนร่วมอย่างรับผิดชอบในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นอาวุธได้อย่างไร

แต่ก่อนจะไปถึงภาพใหญ่ของสื่อและสังคม ลองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ที่กลายเป็นชนวนความตึงเครียดครั้งล่าสุดระหว่างไทยกับกัมพูชาว่าเธอวิเคราะห์สถานการณ์นี้ไว้ได้น่าสนใจดังนี้...
Thailand closes land crossings with Cambodia amid border disputes
ทหารและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงของไทยยืนเฝ้าระวังบริเวณหน้าด่านชายแดนที่ปิดอยู่ ระหว่างการเปิดด่านชั่วคราวเพื่อให้ชาวกัมพูชาและชาวไทยที่ติดค้างสามารถเดินทางกลับบ้านได้ หลังจากมีการปิดพรมแดนที่ด่านคลองลึก อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว ประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2025. Source: EPA / RUNGROJ YONGRIT/EPA/AAP Image

เมื่อข้อพิพาทชายแดนกลายเป็นประเด็นระดับโลก

ในการประชุมฉุกเฉินของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ซึ่งจัดขึ้นตามคำร้องของกัมพูชา

นวลน้อย ธรรมเสถียร ชี้ว่าเวทีนี้ไม่เพียงสะท้อนความร้อนแรงของสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา แต่ยังชี้ให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การทูตในบริบทที่ใหญ่กว่าข้อพิพาทระดับทวิภาคี

ซึ่งกัมพูชามีประวัติศาสตร์ของการนำประเด็นพิพาทระหว่างประเทศเข้าสู่เวทีโลก ซึ่งสามารถตีความได้ว่าเป็นการเปิดพื้นที่ให้สังคมระหว่างประเทศมีส่วนร่วมกับการจัดการความขัดแย้ง

“การประชุมคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ นัดนี้น่าสนใจในฐานะที่เวลามีเรื่องความขัดแย้ง กัมพูชาเป็นคนเสนอให้ใช้เวทีนี้ ซึ่งกัมพูชาโดยเฉพาะในกรณีความขัดแย้งแบบนี้ เขาแสวงหาเวทีระหว่างประเทศเพื่อให้เข้ามามีบทบาทเสมอมา”
นวลน้อยสะท้อนว่า ท่าทีเช่นนี้อาจเชื่อมโยงกับบริบทของความเหลื่อมล้ำด้านกำลังทางทหารระหว่างสองประเทศ ซึ่งทำให้เวทีการเมืองระหว่างประเทศเป็นเครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้ได้บ่อยครั้ง

“ความขัดแย้งใด ๆ ก็ตามแต่ การใช้กำลังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของปัญหา ท้ายที่สุดแล้วเราต้องใช้การเมืองและการเจรจาเสมอ แล้วกัมพูชาคงเข้าใจว่าตัวเองเป็นประเทศที่เล็กกว่า ศักยภาพทางทหารของไทยก็มีสูงกว่าในหลายด้าน”

ในเวลาเดียวกัน ความร้อนแรงของสถานการณ์ที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสัปดาห์นั้น ก็ทำให้คำขอจากกัมพูชาได้รับความสนใจเป็นพิเศษ

“ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนเริ่มให้เรื่องมันแรงขึ้น คำขอของกัมพูชาที่ให้คณะมนตรีความมั่นคงฯ พิจารณาเรื่องนี้ มันเลยได้รับการตอบสนอง เพราะสถานการณ์มันแรงขึ้นในระยะเวลาอันสั้นมาก”

ความเคลื่อนไหวของยูเอ็น และการตอบรับต่อสถานการณ์ครั้งนี้ ยังเกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังของภูมิรัฐศาสตร์ที่เปราะบางในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งทำให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่อาจอยู่นอกสายตาของมหาอำนาจ

“ในสภาพปัจจุบัน สถานการณ์โลกมันตึงเครียดไปแทบจะทุกส่วน เสถียรภาพในภูมิภาคนี้ก็เป็นประเด็นที่มหาอำนาจต้องให้ความสนใจอย่างยิ่งยวด”
Nualnoi-Thammasathien.jpeg
นวลน้อย ธรรมเสถียร สื่อมวลชนอิสระและอดีตผู้สื่อข่าวบีบีซีไทยผู้คร่ำหวอดในสนามข่าวมาตั้งแต่ทศวรรษ 1980 Credit: Supplied/ Nualnoi Thammasathien

ใต้เงามหาอำนาจ

ภายหลังการประชุม UNSC ซึ่งไม่มีมติและไม่มีแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตามรัฐบาลกัมพูชาเป็นฝ่ายเปิดเผยว่าสมาชิกบางประเทศ “วิตกกังวล” ต่อสถานการณ์และเรียกร้องให้มีการหยุดยิง

พร้อมระบุว่า มีการเสนอว่าควรใช้เวทีอาเซียนหรือช่องทางของเลขาธิการสหประชาชาติเป็นพื้นที่ดำเนินการต่อ

“สมาชิกประเทศที่เข้าร่วมประชุมออกมาเปิดเผยว่ามีความวิตกห่วงใยในเรื่องที่มีการสู้รบกัน แล้วก็อยากจะให้หยุดยิง แล้วก็มีการพูดถึงว่า ควรจะมีแพลตฟอร์มใดบ้างที่เหมาะสมในการจัดการกับเรื่องนี้ ซึ่งเรื่องนี้กัมพูชาเป็นคน lead ปล่อยประเด็นออกมา” นวลน้อย อธิบาย

แต่ในขณะที่เวทีระหว่างประเทศยังไม่เคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ สหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับแสดงบทบาทอย่างรวดเร็วผ่านโซเชียลมีเดีย

โดยระบุว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการเจรจา และได้มอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นผู้ดำเนินการต่อ

“เราก็อาจจะมองได้ว่า มันเป็นการใช้โอกาสนี้สร้างบารมี สร้างเครดิตให้กับตัวเองของประธานาธิบดีสหรัฐ ทรัมป์ก็ออกมาทวีตแล้วก็มอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศเป็นคนสานต่อ”

นวลน้อยชี้ว่าลักษณะการสื่อสารเช่นนี้ของทรัมป์ สะท้อนพฤติกรรมการทูตที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ซึ่งสวนทางกับแนวทางแบบดั้งเดิม

"จะเห็นว่าบางทีก็สั่งงานกันผ่านทวิตเตอร์ แล้วก็ประกาศท่าทีในหลาย ๆ เรื่องผ่านโซเชียลมีเดีย โดยที่บางทีเราไม่แน่ใจว่าสิ่งเหล่านั้น มันได้มีการสั่งการกันภายในแล้วหรือยัง"

แม้จะถูกมองว่าขัดกับธรรมเนียมการทูต แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรวดเร็วและตรงไปตรงมาของการประกาศท่าทีผ่านโซเชียลมีเดีย มีอิทธิพลต่อการรับรู้ของสาธารณะทั้งในและนอกประเทศ

ในทางตรงข้ามแม้ว่าเราจะไม่เห็นว่าจีนกลับยังไม่แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการใด ๆ ต่อสถานการณ์ แม้จะเป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของจีนอย่างยิ่ง

แต่นวลน้อยตั้งข้อสังเกตว่า การไม่แสดงออก อาจไม่ใช่การไม่เคลื่อนไหว หากแต่เป็นการดำเนินยุทธศาสตร์เงียบที่สอดคล้องกับลักษณะทางการทูตของจีน นวลน้อยมีความเห็นว่า
ดิฉันว่าจีนเป็นประเทศที่น่าจะ take action โดยที่เราไม่เห็นก่อนหน้านี้แล้วด้วยซ้ำ
นวลน้อย วิเคราะห์
Thai Deputy Prime Minister Wechayachai at a press conference on the Thai-Cambodian border
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยของไทย (กลาง) แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติว่าด้วยสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่ศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ภายใต้ศูนย์อำนวยการสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา (ศอชก.) ในกรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 24 กรกฎาคม 2025 Source: EPA / NARONG SANGNAK/EPA/AAP Image

อาเซียนกับเวทีรักษาสันติภาพของภูมิภาค

ภายหลังสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชาทวีความตึงเครียดต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ห้า การประชุมฉุกเฉินของอาเซียนก็มีขึ้นในช่วงบ่ายของวันที่ 28 กรกฎาคม ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

นำโดยนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ประสานและอำนวยความสะดวก การประชุมครั้งนี้ถือเป็นเวทีพบกันครั้งแรกระหว่างผู้นำรัฐบาลไทยและกัมพูชา นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะ

โดยฝ่ายไทยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นหัวหน้าคณะ ส่วนฝ่ายกัมพูชานำโดยนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

โดยมีสาระสำคัญดังนี้:
  • เวลา 17.00 น. ทั้งสามฝ่ายร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยประกาศ ข้อตกลง 3 ข้อหลัก ได้แก่:
  • หยุดยิงทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข มีผลภายในเวลา 24.00 น. ของวันเดียวกัน
  • จัดประชุมผู้บังคับบัญชาทางทหารในพื้นที่ชายแดน ระหว่างหน่วยรบแนวหน้าในวันที่ 29 กรกฎาคม
  • จัดประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย–กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 4 สิงหาคม โดยมีกัมพูชาเป็นเจ้าภาพ
ข้อตกลงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของการคลี่คลายความขัดแย้ง แต่กระบวนการที่นำไปสู่การเจรจานั้น กลับมีลักษณะ “เงียบ” อย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบทบาทของประเทศเจ้าภาพ

“มาเลเซียเคยมีบทบาทเป็นตัวกลางในกรณีไทย–กัมพูชามาแล้วหลายครั้งแต่ครั้งนี้เราไม่ได้ยินจากมาเลเซียเองเลย เป็นกัมพูชาที่ออกมาพูดว่า ‘เราคุยกับนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมแล้ว’ แต่เรายังไม่ได้ยินมาเลเซียออกมาบอกอะไร"
เป็นสไตล์การทูตแบบอาเซียนเลยค่ะ เงียบไว้ก่อน รอให้ตกผลึกก่อนประกาศ
นวลน้อย ธรรมเสถียร -ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุม
คำอธิบายของนวลน้อยสอดคล้องกับวิธีการที่มาเลเซียและอาเซียนเลือกใช้ในวิกฤตครั้งนี้ ไม่มีคำแถลงใด ๆ ก่อนการประชุม ไม่มีสัญญาณจากเจ้าภาพ จนกระทั่งมีการประกาศข้อตกลงต่อหน้าสื่อ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีพัฒนาการเชิงบวกจากการหยุดยิง แต่อีกด้านหนึ่งก็เปิดคำถามใหม่ว่า อาเซียนจะสามารถรับมือกับความเปราะบางของภูมิภาคในระยะยาวได้มากน้อยเพียงใด

สื่อกับสงครามข้อมูล

ท่ามกลางเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชา การต่อสู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงในสมรภูมิทางทหาร แต่ยังเกิดขึ้นบนอีกสนามหนึ่งที่ทรงอิทธิพลไม่แพ้กัน นั่นคือ สนามของข้อมูล ข่าวสาร และการสื่อสารสาธารณะ

นวลน้อย ธรรมเสถียร นักข่าวอาวุโสผู้มีประสบการณ์การรายงานสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศและระหว่างประเทศมายาวนาน ชี้ให้เห็นภาพรวมของ การสื่อสารในภาวะวิกฤต ทั้งในระดับรัฐ ระดับสื่อมวลชน และระดับประชาชน โดยแยกออกเป็น 3 มิติที่เกี่ยวโยงกันอย่างซับซ้อน

การสื่อสารของรัฐ: เสียงที่นำโดยฝ่ายความมั่นคง

ในช่วงต้นของเหตุปะทะชายแดน รัฐบาลไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่องการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนต่อประชาชนในประเทศและกับนานชาติ โดยเฉพาะเมื่อเสียงหลักของรัฐกลับมาจากฝ่ายความมั่นคงมากกว่าฝ่ายการเมือง

“การสื่อสารกับประชาชนในตอนแรก ๆ ก็ขาดตกบกพร่อง เพราะว่าประชาชนไม่ได้รับข่าวสารอย่างเต็มที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วการสื่อสารที่ควรจะนำโดยฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายการเมือง กลายเป็นว่านำโดยทางกลไกทางทหาร”
นวลน้อยย้ำว่าในสถานการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรง การแถลงจากผู้นำฝ่ายการเมืองมีความหมายทั้งในแง่ ความชอบธรรมและน้ำหนักทางการเมือง ซึ่งประชาชนควรได้ยิน

“ในเชิงของความน่าเชื่อถือ ถึงแม้ว่าจะเป็นกลไกของรัฐทั้งคู่ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว กลไกทางฝ่ายการเมืองควรจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะว่านี่เป็นเรื่องความขัดแย้งถึงขั้นการใช้อาวุธ”

แม้เธอจะมองว่ารัฐบาลไทยพยายามปรับตัวในระยะหลัง โดยเฉพาะกับการสื่อสารต่อเวทีระหว่างประเทศ แต่โครงสร้างหลักก็ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายทหาร

“รัฐบาลก็มีการปรับตัวค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสื่อสารกับโลกภายนอก แต่ว่าจนมาถึงปัจจุบันนี้ ดิฉันคิดว่าการสื่อสารต่าง ๆ ก็ยังดำรงอยู่ภายใต้กลไกของทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ทหารอยู่”
CAMBODIA-THAILAND-BORDER-TEMPLE
ทหารกัมพูชา (ขวา) ยืนรักษาการณ์ ขณะที่พระสงฆ์และนักท่องเที่ยวเดินชมรอบปราสาทตาเมือนธม หรือที่เรียกในภาษาเขมรว่าปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นโบราณสถานเขมรโบราณที่ยังมีข้อพิพาท ตั้งอยู่บริเวณชายแดนกัมพูชา–ไทย ในจังหวัดอุดรมีชัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2025 Source: AFP / TANG CHHIN SOTHY/AFP

จุดยืนของสื่อ และความหมายของจริยธรรมในวิกฤต

ในสงครามที่อาวุธไม่ใช่แค่กระสุนปืน แต่อาจมาในรูปของถ้อยคำ วาทกรรม และข้อมูลที่ถูกบิดเบือน บทบาทของสื่อมวลชนจึงกลายเป็นด่านสำคัญในการชี้นำความเข้าใจของสาธารณชน ว่าจะไปสู่การคลี่คลาย หรือยิ่งตอกลึกความขัดแย้ง

นวลน้อย ธรรมเสถียร ชี้ว่า ทั้งสื่อไทยและกัมพูชาต่างรายงานเหตุการณ์ตามมุมมองของตัวเอง โดยไม่เปิดพื้นที่ให้ข้อมูลอีกด้าน และในบางกรณีก็กลายเป็นผู้ขยายวาทกรรมแห่งความขัดแย้ง

“กัมพูชาก็จะอ้าง ไทยก็จะอ้างหนังสือพิมพ์ของกัมพูชาก็ลงข่าวแบบนี้เหมือนกับว่าอันนี้คือข้อเท็จจริง เช่นเดียวกับสื่อไทย ซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริงก็ได้ เราไม่รู้”
เธอชี้ว่า ในช่วงเวลาที่กระแสชาตินิยมรุนแรง สื่อบางแห่งกลับใช้ภาษาปลุกเร้าอารมณ์ และบางรายถึงขั้นเสนอแนะแนวทางการตอบโต้ จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา

“มีผู้สื่อข่าวบางรายที่ข้ามเส้น ไปจนถึงขั้นแนะนำว่าให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งดิฉันคิดว่ามันเป็นปัญหาทั้งสองฝ่าย... ไม่ได้หมายความว่าไม่มีสื่อที่เป็นมืออาชีพอยู่ เพียงแต่ว่ามันไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่”

“บรรยากาศกระแสชาตินิยมมันรุนแรงมากในช่วงนี้ แล้วก็ทำกันไปต่าง ๆ นานา ยิ่งทุกวันนี้เนี่ยอินเทอร์เน็ตมีโซเชียลมีเดียที่ใครจะพูดอะไรก็ได้เนี่ย คุณจะเห็นว่า... เฮตสปีช (hate speech) มันเกิดขึ้นเยอะมาก”

นวลน้อยยังสะท้อนถึงการทำงานของ IO (information operation) จากทั้งสองฝ่ายที่ปรากฏชัดในโซเชียลมีเดีย

“IO จากทั้งสองฝ่ายออกมาทำงานกันเต็มที่เลยค่ะ ทั้งโพสต์ ทั้งแปล ทั้งแชร์เป็นภาษาอังกฤษว่อนโซเชียล ไม่ใช่แค่แชร์ข่าวเฉย ๆ แต่มีการบิดเบือน ปรุงแต่ง และใส่อารมณ์จนกลายเป็น hate speech ไปเลย”

และไม่ใช่แค่สื่อกระแสหลักเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ประชาชนธรรมดาก็ถูกลากเข้าสู่สนามของการตัดสินอย่างรวดเร็ว หากความคิดเห็นหรือประสบการณ์ไม่สอดคล้องกับกระแสหลัก
บางคนแค่เล่าความเดือดร้อนที่บ้านตัวเองอยู่ใกล้ชายแดน ยังโดนด่าจนต้องลบโพสต์ แล้วคนที่ออกมาเรียกร้องสันติภาพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นวลน้อย ธรรมเสถียร กล่าว
นวลน้อยทิ้งคำถามสำคัญให้สังคมกลับมาทบทวนบทบาทของสื่อและตัวเราในฐานะผู้เสพสื่อ ว่าในภาวะที่อารมณ์และอุดมการณ์เข้มข้นเป็นเชื้อไฟ "จุดยืน" และ "จริยธรรม" ของผู้ผลิตและผู้เผยแพร่ข้อมูลควรตั้งอยู่ตรงไหน

“ถ้าจะเป็นสื่อเนี่ย มันมีกฎเกณฑ์และหลักการของตัวเอง ซึ่งดิฉันเชื่อว่าทุกคนรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า... ตระหนักหรือไม่ว่าขณะนี้เนี่ย เราเนี่ยจุดยืนอยู่ตรงไหน ดิฉันคิดว่าอันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเลย”

บทบาทของประชาชนท่ามกลางกระแสข่าวขัดแย้ง

นอกจากรัฐและสื่อ นวลน้อยยังเน้นย้ำว่า ภาคประชาชนเองก็มีบทบาทสำคัญในสงครามข้อมูล โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่ทุกคนสามารถแชร์ แสดงความคิดเห็น หรือแม้แต่ปลุกกระแสโดยไม่รู้ตัว

“ดิฉันคิดว่าทุกคนมีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ข้อมูลข่าวสาร ความเห็นที่ตัวเองนำเสนอในทุก ๆ ครั้ง เราไม่อาจเรียกหาความรับผิดชอบจากสื่อเพียงฝ่ายเดียวได้”

ตัวอย่างผลกระทบจากข้อมูลที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองก็ปรากฏแล้วในชีวิตจริง เช่น การที่แรงงานกัมพูชาในไทยถูกรังเกียจหรือขับไล่จากกระแสโซเชียล

“สิ่งที่กัมพูชารายงานกัน ก็เป็นสิ่งที่หลายคนในบ้านเราเดือดเนื้อร้อนใจ เรื่องที่ว่ามีคนไทยไปรุกไล่คนเขมรที่มาทำงานในประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่มันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว”

นวลน้อยจึงทิ้งท้ายด้วยข้อเตือนใจสำคัญว่า การเสพสื่อไม่ควรเป็นการเลือกเชื่อเพียงด้านเดียว แต่ต้องอาศัยทักษะในการตั้งคำถาม และรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราแชร์ออกไป

“ทุกวันนี้ การเสพสื่อ การเสพข่าวต้องแสวงหาข้อมูลจากหลาย ๆ ด้าน ไม่ควรจะเชื่ออย่างใดอย่างเดียว บางสิ่งบางอย่างเราเห็นได้ชัดว่ามันมีการสร้างขึ้นมา ก็ควรจะระมัดระวัง”

“เสียงหนึ่งเสียงของเราที่แถมเข้าไปในโลกโซเชียลมันมีน้ำหนัก ถ้าเรารีไซเคิลข้อมูลที่มันไม่จริง ที่มันเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเกลียดชัง เราก็ต้องรับผิดชอบ”

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

Updated

By Chayada Powell
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand
สงครามชายแดนในกระแสสื่อ: จากแนวรบสู่สนามข่าว | SBS Thai