UNSC เรียกประชุม นักวิชาการ ออสฯ ชี้ การทูตไทย–กัมพูชาอยู่ใต้แรงกดดัน 5 มหาอำนาจ

ดร. เกรก เรย์มอนด์ นักวิชาการด้านความมั่นคงจากออสเตรเลีย วิเคราะห์สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ปะทุรุนแรงจน UNSC ต้องจัดประชุมฉุกเฉิน โดยเตือนว่าทั้งสองประเทศกำลังเผชิญแรงกดดันจาก 5 มหาอำนาจ และความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเสถียรภาพในภูมิภาค

Thailand Cambodia

ภาพนี้เผยแพร่โดยกองทัพบกไทย ทหารไทยกำลังตรวจสอบพื้นที่ชายแดนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม 2025 ในจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งกองทัพบกไทยระบุว่าพบกับระเบิดสังหารบุคคลสองลูกในพื้นที่ (ภาพโดยกองทัพบกไทย ผ่านสำนักข่าว AP) Credit: AP/AAPImage

ชญาดา พาวเวลล์—เอสบีเอสไทย

ภายหลังเหตุปะทะระหว่างไทยและกัมพูชาซึ่งเกิดขึ้นบริเวณชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตทั้งทหารและพลเรือน โดยล่าสุด (25 ก.ค.) ฝ่ายไทยมีการรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขว่ามีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 ราย เป็นพลเรือน 13 รายและ ทหาร 1 นาย

ล่าสุด คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) ได้ตกลงจัดประชุมฉุกเฉินในเช้ามืดวันเสาร์ (05.00 น.ตามเวลาออสเตรเลีย) เพื่อติดตามสถานการณ์ที่กำลังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

เอสบีเอสไทยได้พูดคุยกับ ดร. เกรก เรย์มอนด์ อาจารย์อาวุโสประจำศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ (Strategic and Defence Studies Centre) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU) เพื่อวิเคราะห์ท่าทีของทั้งสองประเทศ และประเมินบทบาทของ UNSC ในการยับยั้งความรุนแรง

“จนถึงตอนนี้ การตอบสนองจากทั้งสองฝ่ายยังไม่มีแรงกดดันที่แข็งแรงพอที่จะหยุดการปะทะ” ดร.เรย์มอนด์กล่าว

พร้อมชี้ว่า แม้นายกรัฐมนตรี อันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนจะพยายามประสานงานกับผู้นำไทยและกัมพูชา แต่ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งความขัดแย้งในพื้นที่ได้

ความหวังจาก UNSC

ดร.เรย์มอนด์ตั้งข้อสังเกตว่า การประชุมฉุกเฉินของ UNSC ในคืนนี้ อาจนำไปสู่การออกมติเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายถอนกำลัง และกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจา

ทว่าการจะออก “มติที่มีผลผูกพัน” ได้ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกถาวรทั้ง 5 ชาติ ซึ่งรวมถึงจีนและสหรัฐฯ ที่ต่างมีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

“ถ้าจะมีมติ UNSC ได้ ก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากสมาชิกถาวรทั้งห้า ได้แก่ จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร โดยทั้งห้าประเทศต้องไม่มีใครใช้อำนาจ “วีโต้”

“เป็นไปได้ที่มติจะผ่าน เพราะผมไม่คิดว่าจีนอยากเห็นสถานการณ์นี้ยืดเยื้อต่อไป และสหรัฐฯ ก็น่าจะมีมุมมองเช่นเดียวกัน” ดร.เรย์มอนด์กล่าว
เขาระบุด้วยว่า หากมีมติจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ทั้งไทยและกัมพูชาน่าจะให้ความเคารพ ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดยิงในที่สุด

แต่หาก UNSC ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ ก็อาจตัดสินใจส่งเรื่องกลับมาให้อาเซียนรับช่วง ซึ่งเคยเกิดขึ้นในวิกฤตการณ์ปราสาทพระวิหารระหว่างปี 2008–2011 มาแล้ว แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการไกล่เกลี่ย

“อย่างไรก็ตาม อาเซียนยังไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าจะควบคุมความขัดแย้งระหว่างสมาชิกของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ"
Dr. Greg Raymond edited.jpg
ดร. เกรก เรย์มอนด์ อาจารย์อาวุโสประจำศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศ (Strategic and Defence Studies Centre) จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University: ANU) Credit: Supplied/Dr. Greg Raymond

วิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชาสะเทือนศักยภาพอาเซียน?

ดร. เกรก เรย์มอนด์ วิเคาระห์ประเด็นนี้ว่าความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่กำลังทวีความรุนแรงในขณะนี้ กำลังส่งผลกระทบเชิงลบต่อภาพลักษณ์ของอาเซียนในฐานะองค์กรรักษาสันติภาพของภูมิภาค

“มันน่าเสียดาย เพราะนี่คือช่วงเวลาที่หลายฝ่ายหวังให้อาเซียนมีบทบาทเชิงรุกในการรักษาความสงบในภูมิภาค โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนยังคงดำเนินอยู่ เช่น กรณีไต้หวัน” ดร.เรย์มอนด์กล่าว

เขาระบุว่า หากอาเซียนมีโครงสร้างกลไกที่แข็งแรงสำหรับการไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง เช่น ระบบป้องกันการปะทุ หรือกลไกระงับข้อพิพาทในระดับภูมิภาค ก็อาจสามารถแสดงบทบาทนำในการรักษาสมดุลทางภูมิรัฐศาสตร์ได้มากกว่านี้

แต่เหตุการณ์ปัจจุบันที่ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกสองประเทศ (ไทย–กัมพูชา) ยืดเยื้อโดยที่อาเซียนไม่มีบทบาทสำคัญใด ๆ นั้น

“ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่ออาเซียนในฐานะองค์กรเจรจาสันติภาพลดลง”

เขายังยกตัวอย่างกรณีเมียนมาที่อาเซียนไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทอย่างจริงจังได้ว่า เป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนถึงขีดจำกัดของกลุ่มในเรื่องความมั่นคง

“นี่จะทำให้บรรยากาศความร่วมมือในระดับอาเซียนระหว่างไทยกับกัมพูชาตึงเครียดไปอีกระยะ แม้ผมหวังว่ามันจะเป็นแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงหนึ่ง และไม่บั่นทอนความสัมพันธ์ในระยะยาว”

ดร.เรย์มอนด์ยังตั้งข้อสังเกตว่า ความขัดแย้งอาจมีรากจากปัจจัยทางการเมืองภายในของกัมพูชา โดยเฉพาะบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ที่อาจต้องการสร้าง “มรดกทางการเมือง” ด้วยการพยายามยึดคืนพื้นที่ปราสาทบางแห่งกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของกัมพูชาอีกครั้ง

“นักวิชาการบางคนวิเคราะห์ว่า ฮุน เซนอาจมองว่านี่คือสิ่งที่จะจารึกชื่อของเขาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ และการที่ความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลชินวัตรในไทยย่ำแย่ลงก็ยิ่งผลักดันให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น”
CAMBODIA-THAILAND-BORDER-TEMPLE
ทหารกัมพูชา (ขวา) ยืนรักษาการณ์ ขณะที่พระสงฆ์และผู้มาเยี่ยมชมเดินชมบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นปราสาทโบราณของอารยธรรมเขมรที่อยู่ในพื้นที่พิพาทตามแนวชายแดนกัมพูชา–ไทย ในจังหวัดอุดรมีชัย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2025. Source: AFP / TANG CHHIN SOTHY/AFP

ต้นตอความขัดแย้งไทย–กัมพูชาจากสนธิสัญญายุคล่าอาณานิคม

ดร.เรย์มอนด์ชี้ว่า ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชามีรากเหง้ามาจากการตีความเส้นเขตแดนต่างกัน ระหว่างไทยและกัมพูชา

โดยเฉพาะพื้นที่รอบปราสาทโบราณ เช่น ปราสาทพระวิหาร และปราสาทตาเมือนธม ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างกรรมสิทธิ์

นี่คือปัญหาที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะจาก ความคลุมเครือของเส้นเขตแดนที่กำหนดโดยสนธิสัญญายุคล่าอาณานิคม ระหว่างฝรั่งเศสกับสยามในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในช่วงประมาณปี ค.ศ. 1904–1907 กำหนดคร่าว ๆ ว่า “เส้นพรมแดนจะลากผ่านสันปันน้ำของเทือกเขาดงรัก” แต่ไม่มีแผนที่แนบท้ายอย่างเป็นทางการในช่วงเวลานั้น แผนที่ฉบับที่ถูกอ้างอิงในคดีศาลโลกปี 1962 นั้น ถูกสร้างขึ้นในภายหลัง

ความคลุมเครือนี้เองที่เป็นต้นทางของข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ตั้งของ ปราสาทโบราณจากยุคอาณาจักรขอม

ที่ฝ่ายกัมพูชามองว่าเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของตน ขณะที่บางแห่งตั้งอยู่ในฝั่งที่ถือเป็นอธิปไตยของไทยในปัจจุบัน เช่น ปราสาทบ้านปรางค์ภูมิจังหวัดบุรีรัมย์
กัมพูชารู้สึกอย่างแรงกล้าว่า ปราสาทยุคอาณาจักรขอมคือมรดกของชาติ แต่ความจริงคือหลายแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตประเทศไทยอย่างชัดเจน
ดร.เรย์มอนด์กล่าว
เขาระบุว่า ความยุ่งยากอีกประการหนึ่งคือ โครงสร้างการบัญชาการในพื้นที่ ที่ซับซ้อน (command architecture) ซึ่งมักนำไปสู่ความเข้าใจผิดและจุดชนวนความตึงเครียด โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุในพื้นที่ทับซ้อนหรือพื้นที่พิพาท

แม้จะมีความพยายามเจรจาและฟ้องร้องระหว่างประเทศในอดีต แต่ประเด็นหลัก

“เส้นแบ่งแดนที่ไม่มีใครเห็นพ้องกันอย่างชัดเจน” ยังคงอยู่ และอาจเป็นชนวนให้เกิดเหตุซ้ำอีกในอนาคต หากไม่มีการแก้ไขอย่างยั่งยืนในเชิงโครงสร้าง

น่ากังวลและน่าหวาดหวั่น

แม้เหตุการณ์ปัจจุบันมีความคล้ายคลึงกับวิกฤตการณ์ชายแดนช่วงปี 2008–2011 ที่เกิดขึ้นบริเวณปราสาทพระวิหาร (Preah Vihear หรือ Prasat Phra Viharn) ซึ่งต่างฝ่ายต่างตีความเส้นเขตแดนไม่ตรงกันจากสนธิสัญญายุคล่าอาณานิคมดังกล่าว

แต่ดร.เรย์มอนด์ชี้ว่า ความรุนแรงในครั้งนี้ “ทวีคูณ” และมีการใช้ อาวุธหนักเข้ามาใช้ในยุทธวิธีทางทหาร ซึ่งเขาชี้ว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่น

“ฝั่งกัมพูชาใช้ BM-21 หรือจรวดหลายลำกล้อง ยิงโจมตีเป้าหมายพลเรือน ขณะที่ฝั่งไทยตอบโต้ด้วยการใช้เครื่องบิน F-16 ซึ่งไม่เคยใช้มาก่อนในความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน รวมถึงมีรายงานการใช้โดรนในการโจมตี ซึ่งอาจเป็นครั้งแรกในภูมิภาคอินโดแปซิฟิก”
เรากำลังเห็นสิ่งที่คล้ายกับความขัดแย้งระหว่างยูเครนกับรัสเซียเกิดขึ้นในภูมิภาคของเราเอง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลและผมคิดว่าน่าหวาดหวั่น
Thailand Cambodia
ภาพนี้เผยแพร่โดยกองทัพบกไทย แสดงให้เห็นทหารไทยที่ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด ถูกลำเลียงทางอากาศไปยังโรงพยาบาลในจังหวัดอุบลราชธานี ประเทศไทย เมื่อวันพุธที่ 23 กรกฎาคม 2025 (ภาพจากกองทัพบกไทยผ่านสำนักข่าว AP) Credit: AP/AAPImage

โซเชียลมีเดียกับชาตินิยมที่ปลุกไฟการเมืองให้ลุกลาม

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ ดร. เกรก เรย์มอนด์ วิเคราะห์คือ “พลังทำลาย” ของชาตินิยมที่ขับเคลื่อนผ่านโซเชียลมีเดีย

เขาระบุว่า ความตึงเครียดระหว่างไทย–กัมพูชาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่ได้เกิดขึ้นในสุญญากาศ หากแต่ฝังรากลึกในระบบการศึกษาทั้งสองประเทศ ที่มีแนวโน้มจะถ่ายทอดภาพลักษณ์ของเพื่อนบ้านในแง่ลบมาอย่างยาวนาน

ในขณะที่ฝั่งไทยอาจเรียนรู้ว่าอารยธรรมเขมรเป็นเพียงส่วนหนึ่งของดินแดนไทย ฝั่งกัมพูชาก็เติบโตมากับการรับรู้ว่าประเทศตนตกเป็นเหยื่อของการรุกรานจากไทยและเวียดนาม จึงต้องปกป้องอธิปไตยของตนด้วยกำลัง

“ผมคิดว่าการกระพือกระแสชาตินิยม โดยเฉพาะในโซเชียลมีเดีย เป็นเรื่องที่อันตรายและน่าเสียใจอย่างมาก"
ต้องยอมรับว่า ระบบการศึกษาในทั้งสองประเทศมีแนวโน้มจะปลูกฝังมุมมองเชิงลบต่อประเทศเพื่อนบ้านมาตั้งแต่แรก
ดร. เกรก เรย์มอนด์
เขาชี้ว่า คนไทยจำนวนมากเติบโตมากับการเรียนประวัติศาสตร์จากหนังสือเรียนที่มักนำเสนอภาพลักษณ์ของกัมพูชาในแง่ไม่ดี

และในกัมพูชาก็เช่นกัน คนส่วนใหญ่เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กว่าประเทศของตนเคยตกเป็นเหยื่อของการรุกรานจากเวียดนามและไทยบ่อยครั้ง มีมุมมองว่ากัมพูชาต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วยตัวเองเสมอ

ดร.เรย์มอนด์เตือนว่า วงจรนี้อันตราย เพราะเมื่อผู้นำปลุกกระแสแล้ว ก็อาจถูกกระแสนั้นบีบให้ต้องตอบสนองตาม ไม่กล้ายอมอ่อนข้อ เพราะกลัวเสียคะแนนนิยม ถูกมองว่าอ่อนแอ หรือยอมแพ้ศัตรู

“นี่คือสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนมาก” เขากล่าว พร้อมย้ำว่าจำเป็นต้องมี “ตัวหยุดวงจร” หรือ circuit breaker ที่จะช่วยนำทั้งสองฝ่ายกลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาโดยเร็ว

ผลกระทบต่ออาเซียนและเศรษฐกิจในภูมิภาค

ดร.เรย์มอนด์แสดงความกังวลว่า ความขัดแย้งครั้งนี้อาจบั่นทอนความน่าเชื่อถือของอาเซียนในฐานะองค์กรที่รักษาสันติภาพในภูมิภาค

โดยระบุว่า หากอาเซียนไม่สามารถมีบทบาทในการเจรจาหรือคลี่คลายสถานการณ์ระหว่างประเทศสมาชิกได้ ก็จะยิ่งลดทอนความสามารถในการจัดการปัญหาใหญ่ในระดับภูมิภาค เช่น ความขัดแย้งในทะเลจีนใต้หรือช่องแคบไต้หวัน

เขาระบุว่า ความตึงเครียดจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาพลักษณ์ของทั้งสองประเทศหากความตึงเครียดยังดำเนินต่อหรือบานปลาย จะสร้างผลกระทบเป็นวงกว้างในทุกมิติ

ดร.เรย์มอนด์ยังชี้ว่า กัมพูชากำลังเผชิญแรงกดดันจากข่าวเชิงลบจำนวนมาก ทั้งเรื่องศูนย์หลอกลวง อาชญากรรมข้ามชาติ และปฏิบัติการไซเบอร์

ขณะที่ไทยก็เผชิญแรงเสียดทานทางเศรษฐกิจจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ การเผชิญหน้าครั้งนี้จึงมาในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับทั้งสองประเทศ

“กระทบแน่นอน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่สำคัญต่อทั้งสองประเทศ แม้พื้นที่ปะทะจะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว แต่ก็สร้างภาพลักษณ์ที่ไม่มั่นคง"

"กัมพูชาก็เผชิญปัญหาจากข่าวอาชญากรรมข้ามชาติอยู่แล้ว ส่วนไทยก็เพิ่งโดนสหรัฐขึ้นภาษี นี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะมีความขัดแย้ง” เขากล่าว

ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในอนาคต

หากความขัดแย้งยังดำเนินไปเรื่อยๆ อาจฉุดรั้งความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาที่ดำเนินมาตลอดหลายปี โดยอาจต้องเริ่มต้นใหม่ท่ามกลางความระแวงและอคติเดิม ๆ ที่ยังไม่ถูกแก้ไขอย่างแท้จริง เขาให้ความเห็นว่า

"ผมกังวลต่อความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชาในระยะยาว เพราะที่ผ่านมา ทั้งสองประเทศได้พยายามอย่างมากเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ และลดทอนอคติที่มีต่อกัน แต่ความขัดแย้งครั้งนี้อาจทำให้ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด"
ดร. เรย์มอนด์ ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อทั้งสองประเทศที่ปกครองด้วยระบอบที่ค่อนข้างเผด็จการ และมีผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งก็มักจะใช้ชาตินิยมเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมและความนิยมในหมู่ประชาชน

เพื่อชดเชยความไม่ชอบธรรมในกระบวนการขึ้นสู่อำนาจ ซึ่งสถานการณ์นี้จึงเป็นปัญหาทั้งในระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ความขัดแย้ง

“ผู้นำทั้งสองประเทศที่ไม่ได้มาจากกระบวนการประชาธิปไตยโดยตรง จึงมีแนวโน้มจะใช้วาทกรรมชาตินิยมเพื่อสร้างความชอบธรรมและคะแนนนิยมจากประชาชน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่อาจทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อ และทำลายโอกาสในการเจรจา” ดร.เรย์มอนด์กล่าว

นักวิชาการด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศทิ้งท้ายว่า ผลกระทบที่รุนแรงที่สุดจะตกอยู่กับ “ประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตชายแดน”

ซึ่งต้องแบกรับความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน และความมั่นคงในชีวิตประจำวัน ท่ามกลางความขัดแย้งที่อาจเกิดจากเรื่องเล็กเพียงข่าวลือ และถูกโหมกระพือด้วยกระแสชาตินิยม

ฟังต้นฉบับสัมภาษณ์ ดร. เกรก เรย์มอนด์ได้ที่นี่:

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Published

Updated

By Chayada Powell
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand