อาทิตยา ทีปวัต — เอสบีเอสไทย
นักวิชาการออสเตรเลียชี้ว่ากรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาสะท้อนภาพของรัฐบาลเพื่อไทยที่ไร้เสถียรภาพและตั้งข้อสังเกตว่าปมปล่อยคลิปเสียงอาจเป็นการวางหมากรุกของฝั่งอนุรักษ์นิยมไทยที่ต้องการเลื่อยเก้าอี้นายกแพทองธาร ชินวัตร
เหตุปะทะที่ชายแดนบริเวณช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่รอยต่อระหว่างไทย กัมพูชา และลาว เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม จากความตึงเครียดระหว่างพรมแดนนำไปสู่รอยร้าวระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝั่ง หลังจากสื่อกัมพูชาเผยแพร่คลิปเสียงระหว่างนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ฮุนเซน ว่าด้วยการเจรจายุติข้อขัดแย้งแต่กลับลงเอยด้วยไฟลามทุ่งที่ดูเหมือนจะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่านายกรัฐมนตรีไทยจะออกมาแถลงภายหลังว่าน้ำเสียงและคำพูดในคลิปเสียงสนทนาเป็นเพียงเทคนิคในการเจรจา แต่ผลงานของแพทองธาร ชินวัตรกลับตอกย้ำให้เห็นว่าผู้นำรัฐบาลคนนี้ ‘เอาไม่อยู่’
หากจุดประสงค์ของการเผยแพร่บทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างแพทองธารและฮุน เซน คือการทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีไทยนั้นก็นับว่าประสบความสำเร็จ
เพราะนอกจากภาพลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะเสียหายแล้ว ผลกระทบครั้งนี้ยังซัดไปถึงพรรคภูมิใจไทยที่ลาออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และตามมาด้วยพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีภายในเดือนหน้า
รองศาสตราจารย์แพททริค โจรี นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งควีนส์แลนด์ (University of Queenland) ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่
ให้ความเห็นกับเอสบีเอสไทยว่าความขัดแย้งเรื่องเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชานั้นอาจเป็นม่านกั้นปัญหาภายในระหว่างฝ่ายอนุรักษ์นิยมในไทยและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ยื้อแย่งอำนาจจนทำให้เสถียรภาพทางการเมืองสั่นคลอน
“ผมมองว่าจริงๆ แล้วประเด็นเรื่องชายแดนไทยกัมพูชา เป็นประเด็นที่นานมาแล้ว ตั้งแต่สมัยปี 2505 กรณีเขาพระวิหารขึ้นศาลโลกแล้วเขายกให้กัมพูชา จริงๆ แล้วมีการเจรจาตลอดเวลา ทั้งสองฝ่ายไม่อยากมีความขัดแย้งกัน เพราะการค้าก็ดำเนินไปด้วยดี ถามว่าแล้วทำไมจู่ๆ ประเด็นนี้ผุดขึ้นมา อันนี้เป็นคำถามที่สำคัญที่สุด” รศ.แพททริคชี้

รองศาสตราจารย์แพททริค โจรี นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งควีนส์แลนด์ Credit: Associate Professor Patrick Jory
สัญญาณจากฝั่งอนุรักษ์นิยมของไทย?
นักวิชาการชาวออสเตรเลียอธิบายว่าการชิงอำนาจรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยที่มีทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้เล่นหลัก และผู้เล่นฝั่งอนุรักษ์นิยมนั้นดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อฝั่งอนุรักษ์นิยมเริ่มส่งสัญญาณว่าพวกเขา ‘ไม่เอา’ พรรคเพื่อไทยแล้ว และต้องการเลื่อยขาเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร
การฟื้นฝอยกรณีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชานั้นจะปลุกระดมให้ประชาชนที่สนับสนุนฝ่ายอนุรักษ์นิยมใช้เป็นข้ออ้างกล่าวหาว่าแพทองธาร ‘ขายชาติ’ และสิ้นคุณสมบัติผู้นำประเทศ
เปิดช่องว่างให้อำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในคราบทหารหรือผ่านตัวแทนอย่างพรรคภูมิใจไทยได้ขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลแทน
“เมื่อไหร่แพทองธารลาออก สมมติว่าเขาเปลี่ยนรัฐบาลได้โดยตั้งรัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมา นำโดยพรรคภูมิใจไทย จะเป็นรัฐบาลที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมโอเคกับเขา ผมว่าจะมีเสถียรภาพทางการเมืองอีกครั้งนึง ถ้าเกิดความเปลี่ยนแปลงลักษณะนี้ ปัญหาชายแดนน่าจะคลี่คลายลง"
"แต่ถ้าสมมติว่าการเมืองไทยยังร้อนแรงแบบปัจจุบัน โอกาสที่กระแสชาตินิยมจะเพิ่มขึ้นมีสูงมาก ซึ่งน่าเป็นห่วง ไม่ได้หมายความว่าเฉพาะชาตินิยมในฝั่งไทย ของเขมรด้วย เขมรอาจจะยิ่งกว่าไทยด้วย” รศ.แพททริคกล่าว
นักวิชาการประจำมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ยังอธิบายต่อว่า อีกสาเหตุสำคัญของการปลุกปลั่นกระแสชาตินิยมในกัมพูชาก็คือการเรียกคะแนนนิยมให้กับตัวฮุน เซน และลูกชายฮุน มาเนต ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชาคนปัจจุบัน
มหาอำนาจกับการจัดระเบียบการเมืองในภูมิภาค
หากไล่เรียงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศที่ขนาบข้างด้วยสองอำนาจที่ใหญ่กว่า อย่างในกรณีกัมพูชาที่เป็นรัฐกันชนระหว่างสยามและเวียดนาม จำเป็นต้องมีอำนาจคุ้มครองที่เสริมกำลังการต่อรองของประเทศที่มีขนาดเชิงกายภาพที่เล็กกว่าหรือขนาดเศรษฐกิจที่มีมูลค่าน้อยกว่า
รศ.แพทริคตั้งข้อสังเกตว่าแม้ในอดีตกัมพูชาจะเคยปกครองโดยฝรั่งเศส ซึ่งเป็นมหาอำนาจฝั่งตะวันตกที่เจรจาต่อรองผลประโยชน์ของกัมพูชากับสยามและเวียดนามเมื่อศตวรรษก่อน แต่ในปัจจุบันมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้เปลี่ยนทิศทางแล้ว
“ในอนาคตผมว่าน่าเป็นห่วง ผมว่าระเบียบอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยน เพราะว่าเรารู้อยู่ว่าอเมริกาซึ่งครองตั้งแต่สงครามเย็นเป็นประเทศที่จัดการระเบียบอำนาจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากว่าจีนปฏิรูปเศรษฐกิจภายใน จึงไม่ค่อยอยากยุ่งในช่วงนั้น จนถึงประมาณยี่สิบปีที่ผ่านมาจนถึงจีนเศรษฐกิจแบบเจริญอย่างที่เราเห็น ก็เริ่มขยายอิทธิพลเข้ามา (ในภูมิภาคนี้)”
การดำรงตำแหน่งทางการเมืองของตระกูลฮุนจึงขึ้นอยู่กับอำนาจที่ใหญ่กว่าที่พร้อมจะสนับสนุนกิจการทางการเมืองภายในกัมพูชา
รศ.แพททริคกล่าวว่านี่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้ฮุน เซน หันมาจับมือกับฝั่งอนุรักษ์นิยมในไทยที่เคยสนับสนุนการแทรกแซงทางการเมืองของทหาร แม้ว่าตัวประธานวุฒิสภากัมพูชาจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับทักษิณ ชินวัตร นับหลายทศวรรษ
“ผมว่าฮุนเซนก็เป็นนักการเมืองที่ฉลาด เก่ง อยู่มาได้สี่สิบกว่าปี ผมว่าเขาชินกับความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เขาคงรู้ด้วยว่านี่เป็นช่วงขาลงของอาชีพทางการเมืองของทักษิณ เขาต้องสละเพื่อน เพื่อที่จะให้ประเทศสามารถอยู่รอด”
จับตามองเกมการเมืองระหว่างสองประเทศ
เมื่อวันพุธที่ 25 มิถุนายน สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้โพสต์บนเฟซบุ๊กว่า “ผมคาดการณ์แล้วว่าประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ในอีกสามเดือนข้างหน้า และผมก็ทราบแล้วว่าเป็นใคร แต่ไม่ขอเปิดเผย ปล่อยให้สงสัยกันไป”
ซึ่งตอกย้ำจุดยืนของฝั่งกัมพูชาว่าพวกเขาไม่สนับสนุนรัฐบาลเพื่อไทยและสร้างกระแสว่าการเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลอาจมาจากอำนาจที่ไม่ได้มาจากรัฐสภาหรือประชาชน ทำให้หลายฝ่ายออกมาวิจารณ์ว่าเป็นการแทรกแซงกิจการการเมืองระหว่างประเทศและเป็นการยุยงปลุกปลั่นให้เกิดความไม่สงบในไทย
สื่อท้องถิ่นกัมพูชา สำนักข่าวขแมร์ไทมส์ รายงานว่า ล่าสุดวันนี้ ฮุน เซน ได้ออกแถลงข่าวโจมตีทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว โดยอ้างว่าหากอดีตนายกรัฐมนตรีไทยยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวกับกัมพูชา
ตนจะปล่อยข้อมูลว่าด้วยการที่ทักษิณ ชินวัตรได้หมิ่นประมาทสถาบันพระมหากษัตริย์ อีกทั้งยังอ้างว่านายทักษิณมีบุตรที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตัวฮุน เซน ก็มีบุตรชายที่ดำรงตำแหน่งเดียวกัน
ดังนั้นนายทักษิณจึงควรอบรมลูกของตนเอง และย้ำว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลจะต้องไม่แทรกแซงกิจการของกันและกันและเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน
“คุณต้องเข้าใจว่ากัมพูชาไม่ได้โง่ พวกเรารู้ดีว่าการเมืองภายในของพวกคุณเป็นยังไง […] แม้แต่แผนที่พวกคุณคิดจะปลดอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยออกจากเก้าอี้ คุณก็ยังบอกผม ถ้าคุณทรยศประชาชนของคุณเองได้ คุณจะไม่ทรยศผมด้วยหรือ คุณกล้าทำแน่” ฮุน เซน กล่าวในแถลงการณ์
“ผมไม่ได้ติดหนี้บุญคุณประเทศไทย เรื่องกิจการของรัฐนั้นไม่เกี่ยวกัน และโดยส่วนตัวแล้วผมไม่ติดค้างอะไรใครทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกคุณต่างหากที่ติดหนี้บุญคุณผม ผมไม่อยากทวงบุญคุณแต่ผมอยากได้การเคารพซึ่งกันและกัน ไม่มีการแทรกแซง ไม่มีการบุกรุก”
ล่าสุดฝั่งรัฐบาลไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเช้าวันนี้ที่ทำเนียบรัฐบาลว่าแถลงการณ์ของฮุน เซน นั้นไม่เกี่ยวอะไรกับรัฐบาลเพื่อไทย พร้อมย้ำว่าขณะนี้ผู้นำกัมพูชากำลังเล่นสงครามข่าวสารและสงครามจิตวิทยาที่จะสร้างให้เกิดความหวาดระแวง
“สิ่งต่างๆที่เขาทำอยู่เพื่อจะบั่นทอนศักยภาพและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทย ซึ่งถ้ารัฐบาลไทยสั่นคลอนเขาจะได้ประโยชน์สูงสุด นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการและหวังไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดินหรือชายแดนต่างๆ ซึ่งเขาจะสามารถดำเนินการได้ ในขณะที่รัฐบาลไทยมีปัญหา” นายภูมิธรรมกล่าว
ในขณะเดียวกัน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชนให้สัมภาษณ์กรณีความเคลื่อนไหวของฮุน เซน ว่าเป็นแถลงการณ์ปลุกปั่นและขอร้องให้ประชาชนอย่าปักใจเชื่อเนื้อหาจากผู้นำกัมพูชา
“คนๆนี้คือบิดาของสแกมเมอร์แห่งภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สแกมเมอร์เขาก็ทำแบบนี้แหละ มีคลิปหรือไม่มี ก็บอกว่ามีไว้ก่อน พอบอกว่ามีอะไรก็บอกว่ายังไม่บอก เป็นการข่มขู่ ดังนั้น ผมคิดว่าควรดึงใจของพวกเรากลับมา อย่าหลงเป็นเหยื่อ คนๆนี้เลย”