ชญาดา พาวเวลล์— เอสบีเอสไทย
การหลอกลวงทุกวันนี้ซับซ้อนและซ่อนเงื่อน จนคนธรรมดาอย่างเราๆ ตามไม่ทัน เอสบีเอสไทยจะพาคุณมารู้จักกับกลโกง ABC ที่ไม่ใช่แค่การโกงทั่วไป แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมที่สร้าง “เรื่องเล่า” เสมือนจริง โดยอาศัยความคุ้นเคย ความไว้ใจ และน้ำใจของผู้คนในชุมชนไทยต่างแดน มาใช้หลอกเอาทรัพย์อย่างแนบเนียน
รูปแบบกลโกง “ABC” เป็นกลโกงที่มิจฉาชีพใช้ตัวละครหลายคนในการติดต่อทำธุรกรรมหรือทำทีซื้อขายสินค้าและบริการ เช่น A = มิจฉาชีพ, B = ผู้ขาย และ C = ผู้ซื้อ เป็นต้น
ซึ่งชื่อเรียกการหลอกลวงรูปแบบดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับสถานีข่าว ABC ของออสเตรเลียแต่อย่างใด
กลโกงนี้เริ่มแพร่หลายในไทยตั้งแต่ช่วงปี 2564 ผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook และ LINE
ก่อนจะพัฒนาให้ซับซ้อนขึ้น แฝงตัวในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น การหลอกสมัครงาน หลอกทำวีซ่า หรือแม้กระทั่งการปลอมตัวเป็นลูกค้าธุรกิจไทยในต่างแดน
ล่าสุด สแกมในรูปแบบ ABC ได้ขยายเครือข่ายมาถึงออสเตรเลีย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างเมลเบิร์น ที่ผู้ประกอบการไทยเริ่มรวมตัวกันออกมาเปิดโปงพฤติกรรมต้องสงสัย และเตือนภัยให้กับชุมชน
กลโกงที่อาศัยความไว้ใจในชุมชน
รูปแบบการติดต่อของกลุ่มผู้หลอกลวงที่เพิ่งพบในนครเมลเบิร์นนั้นมักเริ่มต้นจากการติดต่อเพื่อซื้อสินค้า หรือบริการ มีทักทายอย่างเป็นกันเอง ชวนคุยอย่างสนิทสนมและอ้างว่ารู้จักหรือสนิทสนมกับบุคคลหรือธุรกิจในชุมชนเดียวกัน
เช่น ร้านนวด ร้านอาหาร หรือร้านของชำ โดยอ้างว่า “รู้จักกัน” หรือ “เคยใช้บริการ” เพื่อสร้างความไว้วางใจ จากนั้นจึงเสนอเงื่อนไขที่ดูน่าเชื่อถือ เช่น อัตราแลกเปลี่ยนเงินที่สูงกว่าปกติ หรือการสั่งของจำนวนมากโดยพร้อมจ่ายสดหน้างาน
อ่านเพิ่มเติม

รู้ทันกลโกงแชร์ลูกโซ่
เอสบีเอสไทยลงพื้นที่พูดคุยกับผู้เสียหายและเจ้าของธุรกิจที่เคยตกเป็นเป้า เผยให้เห็นกลไกของกลุ่มมิจฉาชีพที่อาศัยช่องโหว่ทางความเชื่อใจ และวัฒนธรรมการซื้อขายของชุมชนมาเป็นเครื่องมือหลอกลวงที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้
บทบาทใหม่ของมิจฉาชีพในคราบลูกค้า
กรณีล่าสุดที่ได้รับการเปิดเผย เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการหลายรายในนครเมลเบิร์น เช่น คุณแนนซี เจ้าของร้านนวดทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง ซึ่งถูกติดต่อขอจองคิวนวดก่อนจะถูกให้ช่วยหาแหล่งแลกเงิน
คุณแนนซีบอกกับเอสบีเอสไทยว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นลูกค้าคนดังกล่าว เล่าเรื่องขอความเห็นใจและเหตุผลที่จำเป็นต้องแลกเงินด่วน พร้อมพูดคุยอย่างสนิทสนมหลังจากรู้ว่ามาจากภาคเดียวกัน
คุณแนนซีจึงรู้สึกเห็นใจและแนะนำไปแลกเงินร้านของคนรู้จัก ก่อนที่คนรู้จักคนดังกล่าวจะกลายเป็นเหยื่อ
“พี่ก็คิดว่าเขาเป็นลูกค้าคนบ้านเดียวกัน เขาบอกว่าหนูเดือดร้อนหนัก อยากหาแลกเงิน พี่พอมีใครรู้จักไหม พี่ก็สงสารเขา พี่ก็เลยว่าเดี๋ยวพี่ไปขออนุญาตขอเบอร์คุณป้าก่อน”
หลังจากนั้นคนที่คุณแนนซีให้เบอร์โทรไป ติดต่อกลับมาว่าเธอรู้จักกับคนที่อ้างเป็นลูกค้าใช่ไหมเพราะเขาบอกว่ารู้จักกับคุณแนนซีและจะเอาเงินมาฝากไว้ที่เธอ
คุณแนนซีจึงได้ทราบว่าเธอถูกใช้เป็นนกต่อของผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นลูกค้าในคราบมิจฉาชีพ เธอบอกเอสบีเอสไทยว่า
พี่รู้สึกเสียใจที่เอาเบอร์คุณป้าให้และเป็นต้นเหตุให้ต้องโดนหลอกคุณ แนนซี ผู้ประกอบการในนครเมลเบิร์น
เมื่อสแกมลามทั่วเมลเบิร์น
อีกฝั่งของเมือง คุณจอย เจ้าของร้านของชำ “ถุงทอง” ได้รับการติดต่อผ่านแอปพลิเคชัน WhatApp ว่าอยากซื้อทุเรียนจำนวน 12 กล่อง
พร้อมขอชำระเงินสดที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งใจกลางเมือง ก่อนจะต่อท้ายด้วยการขอแลกเงิน หลังจากต่อรองว่าจะไปส่งที่ไหนและปรึกษากับสามี

ตัวอย่างการสนทนาของผู้แอบอ้างเป็นลูกค้ากับผู้ประกอบการในนครเมลเบิร์น (Source: SBS Thai) Source: SBS Thai Credit: SBS Thai
แต่หลังจากรออยู่เป็นชั่วโมงกลับไม่มีผู้มารับของ และไม่สามารถติดต่อปลายสายได้อีก เธอจึงแน่ใจว่าคนที่อ้างเป็นลูกค้านั้นน่าจะเป็นมิจฉาชีพ
“เค้าบอกว่าตกลงหนูเอาของพี่นี่แหละ 12 กล่อง พี่มาส่งให้หนูเลย...แล้วพี่รับแลกเงินมั้ยคะ เขาเข้าประเด็นก็บอกว่าปกติก็รับแลกกับพวกลูกค้าประจํา เขาบอกว่าเขามีเงินหมื่นอยู่หมื่นเหรียญ"
"เราก็เลยไปปรึกษาแฟน และตอบไปว่ายังไม่รับแลกนะคะ เดี๋ยวเอาทุเรียนไปส่งให้แล้วกัน เค้าก็เลยบอกงั้นเดี๋ยวรออยู่ที่ร้านนานา นัดกัน 2ทุ่มครึ่ง พอไปถึงก็นั่งรอเป็นชั่วโมงเลยค่ะ เค้าไม่มา โทรไปก็ไม่รับ ก็เริ่มเอะใจละ”
เมื่อแผน "ABC" ลวงสำเร็จ
เมื่อกลโกง ABC เริ่มแพร่กระจายไปในหมู่ผู้ประกอบการไทยในเมลเบิร์น
อย่างเงียบงัน หลายร้านค้าและหลายคนเริ่มตกเป็นเหยื่อ
หนึ่งในจุดหักเหสำคัญของเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ ร้านอาหารไทยใจกลางเมือง ซึ่งกลายเป็นทั้งเป้าหมายของมิจฉาชีพ และจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายเงื่อนงำครั้งใหญ่

ตัวอย่างการโพสต์แลกเงินทางเฟซบุ๊กในหมู่ชุมชนไทยในออสเตรเลีย (Source: SBS Thai) Source: SBS Thai Credit: SBS Thai
เมื่อเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊กในเพจชุมชน ที่กำลังหาคนแลกเงินไทยเป็นดอลลาร์ออสเตรเลีย ด้วยเรทที่สูงกว่าตลาดทั่วไป คุณมิ้นเล่าให้เอสบีเอสไทยฟังว่า
“เห็นโพสต์ที่เขาโพสต์ในในเพจว่าต้องการเงินออส เราก็ต้องการเงินไทยด่วนเหมือนกัน เรทวันนั้นก็สูงกว่าในในในแอป ก็เลยติดต่อไปทางอินบ็อกซ์เฟซบุ๊ก เขาก็ตอบกลับมาว่าต้องการเงินออสฯ ก็นัดเจอกันที่ Southern Cross station”
การพูดคุยดูราบรื่น มิจฉาชีพมีข้อมูลแน่น รู้จักสถานที่ต่าง ๆ ในเมลเบิร์นอย่างคล่องแคล่ว จนเธอเชื่อว่าคงเป็นคนที่อยู่ที่นี่จริง ๆ
อ่านเพิ่มเติม

Settlement Guide: รู้ทันกลโกงทางออนไลน์สมัยใหม่
แต่เมื่อถึงวันนัดแลกเงิน กลับมีการเปลี่ยนสถานที่หลายครั้ง อ้างว่าติดลูก ไม่มีใครดูแล หรือสะดวกแค่บางจุดเท่านั้น ซึ่งสถานที่แต่ละแห่งล้วนเป็นร้านของคนไทยที่เป็นที่รู้จักกันดี
ท้ายที่สุด มิจฉาชีพเสนอให้ไปแลกเงินที่ร้านของคุณมิ้นเอง โดยบอกว่า “จะมีคนไปรอที่โต๊ะหมายเลข 4” พร้อมโทรศัพท์ติดต่อกับคุณมิ้นตลอดเวลาเพื่อยืนยันการนัดหมาย
“ถึงร้านปุ๊บโทรหาเค้ามิ้นต์บอกว่าถึงร้านแล้วนะคะ เค้าบอกว่าคุณป้าอยู่ในร้านโต๊ะ 4 พอจะวางปุ๊บเค้าบอกว่าไม่ต้องวางโทรศัพท์จะได้รู้ว่านับกันถึงขั้นตอนไหน"
"พอเจอคุณป้าที่เคยเห็นหน้าเคยซื้อของด้วยกัน ก็สบายใจ เพราะระหว่างทางที่เค้าติดต่อก็รู้สึกเอะใจ”
แต่ก่อนจะส่งมอบเงิน เธอขอตรวจสอบสลิปการโอน ซึ่งคนที่มารับเงินยืนยันว่า “โอนแล้ว” พร้อมโชว์ภาพสลิปโอนผ่านมือถือ แต่เมื่อตรวจดูอย่างละเอียด คุณมิ้นกลับพบว่าชื่อบัญชีผู้รับไม่ใช่ชื่อของเธอ
“ตอนที่นับเงินเสร็จแล้ว คุณป้าเค้าก็บอกว่าได้รับเงินแล้ว "พร้อมโอน" ทีนี้เป็นขั้นตอนที่คุณป้าให้คนที่ไทยโอนมา ก็เปิดแอปโทรศัพท์ไว้เพื่อจะดูว่าเค้าโอนเงินมาหรือยัง ผ่านไปประมาณ 5 -10 นาทีเงินยังไม่เข้า
ก็เลยขออนุญาตดูใบเสร็จที่คุณป้าโอน เลยรู้ตอนนั้นว่าเงินไม่ได้โอนเข้าบัญชีเรา ก็เลยงงว่า อ้าว ทําไมไปโอนไปหาคนอื่น!คุณ มิ้น ผู้ประกอบการร้านอาหารในนครเมลเบิร์น
เมื่อสอบถามไปยังมิจฉาชีพผ่านโทรศัพท์ เขาอ้างว่า “คนที่โอนเงินมาให้ยังโอนไม่ครบ”
และสัญญาว่าจะโอนให้ทีเดียวเมื่อพร้อม แต่สุดท้ายไม่มีเงินเข้าบัญชี และคำพูดเริ่มวกวนไร้เหตุผล
คุณมิ้นจึงตัดสินใจปฏิเสธการแลกเงิน และไม่ส่งมอบเงินให้กับผู้รับ แต่ผู้เสียหายคือคุณป้าคนนี้ที่สูญเงินไปจริงๆ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
*เอสบีเอสไทยได้พยายามติดต่อผู้เสียหายรายนี้เพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ผู้เสียหายคนดังกล่าวไม่สะดวกให้ข้อมูลในเวลานี้
จากเงื่อนงำสู่ความร่วมมือของผู้ประกอบการ
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่ร้านอาหารใจกลางเมือง กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้กลุ่มผู้เสียหายเริ่มเชื่อมโยงเงื่อนงำต่าง ๆ
และรวมตัวกันเพื่อเตือนภัยในชุมชนไทย พร้อมส่งต่อข้อมูลให้สื่อและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้ตกเป็นเหยื่อเพิ่มขึ้นอีก
เช่น กรณีล่าสุดของ คุณ อลิซ หรือ “เจ้อ้วน” ผู้จัดคอนเสิร์ตและผู้ประกอบการในนครเมลเบิร์น ก็ได้รับการติดต่อในลักษณะเดียวกัน
โดยลูกค้ารายหนึ่งขอซื้อบัตรคอนเสิร์ตและขอแลกเงิน พร้อมอ้างว่าทำงานอยู่ที่ร้านอาหารชื่อดังในเมืองและจะฝากเงินค่าตั๋วกับคนที่ทำงานอยู่ในร้าน

ตัวอย่างการสนทนาทางเฟซบุ๊กของผู้ที่อ้างว่าเป็นลูกค้ากับผู้ประกอบการในออสเตรเลีย (Source: SBS Thai) Source: SBS Thai Credit: SBS Thai
การสอบถามพบว่า บุคคลที่ถูกอ้างถึงมีตัวตนจริง แต่ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับบัตรคอนเสิร์ตหรือการแลกเงิน
และกำลังรอผู้ติดต่อรายเดียวกันมาแลกเงินอยู่เช่นกัน แต่ไม่เคยปรากฏตัว คุณอลิซหรือเจ้อ้วนบอกกับเอสบีเอสไทยว่า
“เราไม่มั่นใจว่าน้องเนี่ยเป็นขบวนการของเค้ารึเปล่า หรือว่าเป็นเหยื่ออีกคนนึงแล้วเจ๊อ้วนก็โทรเข้าไปโทรกลับมาบอกเราว่า น้องไม่รู้เรื่องอะไรเลย น้องก็คือเหยื่อคนนึงแล้วกำลังรอคนๆ นี้ที่จะมาแลกเงินอยู่หลายวันแล้ว”
อ่านเพิ่มเติม

รู้ทันกลโกงการหลอกลวงเรื่องวีซ่า
เมื่อแน่ใจว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นลูกค้าน่าจะเป็นมิจฉาชีพ คุณ อลิซ คุณ แจ๊ส รวมถึงผู้ประกอบการหลายรายในเครือข่ายธุรกิจไทยในเมลเบิร์นเริ่มแชร์ข้อมูลระหว่างกัน เพื่อระบุตัวผู้ต้องสงสัย และเตือนภัยให้ผู้ค้ารายอื่นในกลุ่ม Facebook ในชุมชน
พวกเขาหวังว่าจะช่วยหยุดยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายอื่นได้ทันท่วงที คุณอลิซ เปิดเผยถึงการออกมาเตือนภัยว่า
“พอโพสต์ไป มีคนที่เป็นเหยื่อเยอะทั้งเสียเงินไปแล้วก็มี เค้าก็ส่งข้อความมาบอกเรา แต่เค้าจะไม่อยากบอกชื่อเลยแม้แต่คนเดียว ตรงนี้แหละค่ะ (เป็นเหตุผลว่า) ว่าถึงออกมาพูดเพราะเค้าอาจจะมาใช้ความเป็นที่รู้จักของเรา ไปคุยกับคนอื่น แอบอ้างชื่อเราเพื่อที่จะไปหลอกคนอื่นต่อ”
คุณแจ๊สฝากคำเตือนถึงชุมชนว่า
“คนที่อยากจะโอนตังค์นะคะ ถ้าเราไม่ได้โอนผ่านแอปฯ หรือว่าผ่านบริษัทควรดูกันให้ดีๆ อย่าให้บุคคลที่ 3 มาคอนโทรลเราเพราะว่า 99.99% ก็น่าจะเป็นสแกมเมอร์"
แล้วทำไมจึงยังแลกเงินผ่านบุคคล?
แม้ว่าเหตุการณ์หลอกลวงเกี่ยวกับการแลกเงินจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ทำไมคนในชุมชนไทยบางส่วนจึงยอมเสี่ยงแลกเงินกับร้านค้าหรือบุคคล แทนที่จะใช้บริการธนาคารหรือเแอปลิเคชันแลกเงิน
คุณอลิซเผยว่าเหตุผลหลักน่าจะเป็นความเชื่อใจและตามตัวบุคคลนั้นๆ ได้ หากเกิดความขัดข้อง
"ทําไมคนถึงมาแลกแบบนี้ พวกเรามีตัวตนพวกเรามีธุรกิจพวกเรามีงานมีการ สมมุตินะคะไปแลกในแอปฯ (ถ้ามีปัญหา) เค้าจะไปตามที่ไหน บางทีอาจจะต้องใช้เวลา แต่ถ้ามาแลกกับเราแล้วมีปัญหา ก็มาตามที่เราได้"
คิดว่าหลายคนคิดแบบนี้ว่าทําไมถึงยอมเสี่ยงเพราะว่าตามคนที่มีตัวตนน่าจะง่ายกว่าตามแอปฯคุณ อลิซ
*แม้ว่ากลุ่มผู้เสียหายจะได้รวบรวมหลักฐานและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางส่วนตัว
เอสบีเอสไทยติดต่อไปยังสำนักงานตำรวจรัฐวิกตอเรียเพื่อสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่พบว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาทางกฎหมายใด ๆ ต่อบุคคลที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้
สถิติการหลอกลวงในออสเตรเลีย
จากรายงาน Targeting Scams 2024 ของ National Anti‑Scam Centre ของคณะกรรมาธิการด้านการแข่งขันและผู้บริโภคแห่งออสเตรเลีย (ACCC) ระบุว่า
ในปี 2023 ชาวออสเตรเลียสูญเงินรวมกว่า 2.03 พันล้านดอลลาร์ จากการหลอกลวงทุกรูปแบบ
ประเภทสแกมที่สร้างความเสียหายมากที่สุด ได้แก่ การลงทุน, โรแมนซ์ และการปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่
และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักคือผู้มีรายได้น้อย, นักเรียนต่างชาติ และชุมชนที่พูดภาษาอื่น
หนึ่งในลักษณะสำคัญของสแกมยุคใหม่คือ การเจาะเป้าหมายที่พูดภาษาเดียวกัน หรือมีพื้นเพวัฒนธรรมร่วมกัน ซึ่งทำให้ผู้หลอกลวงสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนในระดับนโยบาย ล่าสุด รัฐบาลกลางออสเตรเลียได้ผ่านร่างกฎหมาย Scams Prevention Framework Act 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มมาตรการคุ้มครองผู้บริโภคจากการหลอกลวงออนไลน์
โดยในขณะนี้ อยู่ระหว่างการจัดทำแนวปฏิบัติ (Code of Conduct) สำหรับองค์กรในภาคส่วนต่างๆ
เช่น ธนาคาร บริษัทโทรคมนาคม และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เพื่อกำหนดให้ต้องมีความรับผิดชอบในการ ป้องกัน ตรวจจับ รายงาน และรับมือกับกรณีสแกมอย่างเหมาะสม
คำเตือนจากตำรวจและข้อควรระวัง
สำนักงานตำรวจรัฐวิกตอเรีย (Victoria Police) ให้ข้อมูลกับเอสบีเอสไทยว่า การหลอกลวงสามารถเกิดขึ้นได้หลายรูปแบบ
ทั้งทางจดหมาย อีเมล โทรศัพท์ และแบบพบเจอตัวจริง ข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินจริงควรได้รับการตรวจสอบ และควรอาศัยการยืนยันจากบุคคลที่สามก่อนทำธุรกรรมใด ๆ
หากตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง สามารถแจ้ง Crime Stoppers (โทร 1800 333 000)
ด้านกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางของประเทศไทยชี้แจงกับเอสบีเอสไทยว่ากรณีที่ผู้เสียหายแจ้งความในลักษณะที่มีการกระทำผิดข้ามชาติ อาจจะมีความล้าช้าในการดำเนินงานเกิดขึ้นได้
เนื่องจากข้อจำกัดหลักของกระบวนการทำงานกับหน่วยงานระดับประเทศ มีทั้งข้อกฎหมายและระเบียบต่างๆ
เช่นการแลกเปลี่ยนพยานหลักฐานผ่าน MLAT (Mutual Legal Assistance Treaty) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างประเทศ"
คือข้อตกลงระหว่างสองประเทศหรือมากกว่า ที่ใช้เป็น กลไกความร่วมมือในการช่วยเหลือกันด้านกฎหมายในคดีอาญา
อย่างไรก็ตามผู้เสียหายสามารถประสานกับเจ้าหน้าที่ของตำรวจกลางออสเตรเลีย Australian Federal Police (AFP) ประจำรัฐนั้นๆ ได้เช่นกัน
ฟังเรื่องนี้ได้ที่นี่: