“ในขณะที่พวกเรากําลังสนุกสนานอยู่ภายใต้แสงสีเสียงเนี่ย มีเพื่อน LGBTQ กลุ่มหนึ่งที่ต้องซ่อนตัวเองอยู่ในมุมมืด” พิชญ์ พงษ์พิชญ์ ปัญญา แม่งานเจ้าของเวทีประกวดที่ใช้ชื่อได้สุดอลังอย่าง Miss Galaxy Queens เวทีที่สร้างพื้นที่ให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย โดยเฉพาะกลุ่มที่มาจากประเทศอาเซียนได้รวมตัวกัน

พิชญ์ พงษ์พิชญ์ ปัญญา แม่งานเจ้าของเวทีประกวด Miss Galaxy Queens Credit: SBS Thai // Warich Noochouy
พิชญ์บอกกับเอสบีเอสไทยว่า เรื่องของวัฒนธรรม ภาษา และคอนเนคชั่นคือองค์ประกอบหลักๆ ที่ทำให้คนจากกลุ่มอาเซียนกลายเป็น Girl from nowhere โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่ใช่เอเชียนที่เกิดที่นี่ก็ยิ่งยากจะที่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในคอมมูหลักของพื้นที่ได้
การเกิดเวที Miss Galaxy Queens ที่เจ้าตัวมองว่าแม้มันจะเกิดขึ้นจากความบังเอิญที่จัดเล่นๆ ในบ้าน กับกลุ่มเพื่อนในช่วงการหลังการระบาดของโควิด แต่ด้วยภาพที่ถูกส่งออกไป ยิ่งกลายเป็นกระแสปากต่อปาก จากเพื่อนคนนั้นสู่เพื่อนคนนี้ จนนำมาสู่การรวมกลุ่มคนหัวอกเดียวกันเรื่อยมา เข้าสู่ปีที่สาม และตั้งใจที่จะเป็นสะพานเชื่อมกับพื้นที่หลักของคอมมูนี้ให้ได้
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

เพราะรักจึงเข้าใจ เปิดใจแม่ที่มีลูก LGBTQI+
“การประกวดของเราเนี่ยมันคือการที่คนคนนั้นได้แสดงตัวตนของตัวเองออกมา ได้เล่าเรื่องให้เห็นภาพมากขึ้นว่าตัวตนของเขาเป็นอย่างไร เขาผ่านอะไรมาบ้าง และเขาอยากให้ทุกคนยอมรับเขาในแบบไหน” พิชญ์กล่าวและย้ำว่าเวทีของเขานั้นเป็นไม่มีการใช้มาตรฐานความงาม (beauty standard) มาวัดค่าความงามของคน แต่กลับเน้นที่แนวคิด Friends Support Friends มากกว่า

Miss Galaxy Queens เวทีที่สร้างพื้นที่ให้กับกลุ่ม LGBTQ+ ในเมลเบิร์น ออสเตรเลีย โดยเฉพาะกลุ่มที่มาจากประเทศอาเซียนได้รวมตัวกัน Credit: SBS Thai / Warich Noochouy
“ก่อนที่เราจะมองหาความงาม เรากลับมองว่าเราจะซัพพอร์ตกลุ่ม LGBTQ ที่เป็นเอเชียนอย่างไร จะทําอย่างไรให้กับเพื่อนๆ ที่เป็น artist แต่อาจไม่ได้เป็น professional ได้มีพื้นที่แสดงตัว”
มันค่อนข้างที่จะยากเหมือนกัน ทํายังไงให้การประกวด คนไม่มองว่าเป็นงานปาร์ตี้งานกินเลี้ยง แต่เป็นงานที่มันสนุก ถ้าไม่สนุกมันไม่ดัง แต่การสนุกแล้ว คุณต้องได้อะไรกลับไปบ้านด้วย คุณต้องได้อะไรที่รู้สึกว่ามันกระตุ้นกับสังคมมากขึ้นพิชญ์กล่าว
พิชญ์ยกตัวอย่างสาวทรานส์ที่เข้ามาประกวด หรือเพื่อนจากมาเลเซีย ที่ต้องปิดบังตัวตนของตัวเองมายาวนานในประเทศเกิด ทั้งแรงกดดันทางศาสนา กฎหมาย และครอบครัว การมีพื้นที่ปลอดภัยตรงนี้ ที่ที่ไม่มีใครจะตัดสินว่าถูกหรือผิดนั้น ทำให้เพื่อนคนนี้ได้บอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง และได้รับการโอบรับ
“เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มาก แต่เขาสามารถทําให้คนอื่นที่ไม่เคยรับรู้ ได้เข้าใจมากขึ้น ได้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้น มีอยู่จริงและกำลังเป็นไปแบบนั้น”
เส้นแบ่งไม่ถูกมองไม่เห็นในกลุ่ม LGBTQ
เช่นเดียวกันกับ แพททริค ชัทลาร์ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียวัย 27 ปีที่ก้าวเข้าสู่วงการแดรกควีนจากความรักในการแสดงและเครื่องสำอาง
ในฐานะของลูกครึ่งไทยที่เติบโตในไทยก่อนจะย้ายมาอยู่ออสเตรเลียเป็นการถาวร แพทริคเปิดเผยว่าเส้นทางการสร้างอาชีพนักแสดงในวงการแดรกควีนของเขาไม่ได้มาอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะการเป็นแดรกควีนในสังคมที่คนส่วนใหญ่เป็นคนขาว และยังเป็นสังคมที่ส่งแรงกดดันให้แพทริคต้องปรับเปลี่ยนมาตรฐานความงามที่อาจไม่ใช่ตัวตนของเขาเอง หรือต้องพยายามนำเสนอภาพลักษณ์ที่ผู้ชมไม่คุ้นเคย
แพททริค ชัทลาร์ ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลียวัย 27 ปีที่ก้าวเข้าสู่วงการแดรกควีนจากความรักในการแสดงและเครื่องสำอาง Credit: Supplied
“เราเจออุปสรรคไม่น้อยด้วยเหตุผลที่ว่าเราเป็นคนเอเชียน มีตั้งแต่โดนให้แสดงแค่บทบาทเดิมๆ หรือไม่ก็ไม่ได้รับโอกาสงานไปเลยก็มี แต่ความท้าทายพวกนี้มันก็เป็นแรงผลักดันให้เราสู้ เราต้องซื่อสัตย์กับอัตลักษณ์ของตัวเอง อย่ายอมให้ความคาดหวังจำกัดศักยภาพของเรา และต้องพยายามสร้างพื้นที่ให้ความหลากลายได้เกิดขึ้นจริง” แพทริคกล่าว
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ซิดนีย์จะสร้างทางข้ามถนนสีรุ้งขึ้นใหม่เป็นการถาวร
“ถึงแม้ว่าคนออสเตรเลียจะหัวก้าวหน้า แต่เราคิดว่าในระดับสังคม คนออสเตรเลียยังคงไม่กล้าที่จะฉายภาพของคนกลุ่มเควียร์ในสื่อสักเท่าไหร่ เราเชื่อว่าประเด็นนี้ยังพัฒนาไปได้อีก และถึงแม้คนทั่วไปจะมองว่าคนออสเตรเลียนั้นเป็นกันเอง เป็นคนไม่เคร่งครัด แต่ในแง่ของการโอบรับคนกลุ่มเควียร์ยังคงมีอคติอยู่ เราคิดว่าในแง่ของโอกาสในการปรากฏตัวบนช่องทางสื่อใหญ่ๆ นั้นยังคงน้อยมาก”
ความเป็นแดรกควีนที่มากกว่าแค่การแต่งตัวสีสันฉูดฉาด
เกิดที่กรุงเทพและโตที่ไทยจนถึงอายุหกขวบ แพทริคเล่าว่าเขาเริ่มเห็นการนำเสนอภาพความหลากหลายทางเพศในภูมิทัศน์สื่อในไทยตั้งแต่เด็ก และได้รับแรงบันดาลใจจากโชว์อลังการอย่างทิฟฟานี่และอัลคาซ่าที่พัทยา

แพททริค ชัทลาร์ เกิดที่กรุงเทพและโตที่ไทยจนถึงอายุหกขวบ ก่อนจะย้ายมาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียถาวร Credit: Supplied
“แม่ก็รู้ว่าเราเป็นเด็กที่ชอบสิ่งสวยงาม ชอบเล่นตุ๊กตา ชอบโชว์พวกอากาซ่า ทิฟฟานี่ เราเป็นคนที่มีแรงบันดาลใจสิ่งที่เป็นผู้หญิง สิ่งที่เป็นการแสดง เป็นแรงบันดาลใจของเราตั้งแต่เด็ก” แพททริคเล่า
หลังจากย้ายมาอาศัยอยู่ที่ออสเตรเลียถาวร แพทริคเปิดเผยว่าเขาเริ่มหลงใหลงานศิลปะและเริ่มวาดรูปภาพเหมือนบุคคล แล้วจึงเริ่มพัฒนาความรักศิลปะมาเป็นพื้นฐานของความรักด้านการแต่งหน้า จากแรกเริ่มที่ศึกษาศาสตร์การใช้เครื่องสำอางผ่านวิดิโอบนยูทูป แพทริคในวัยสิบเจ็ดปีก็ได้รับรางวัลจากการแข่งขันแต่งแดรกในซิดนีย์เป็นครั้งแรก
พอมาอยู่ที่นี่ [ออสเตรเลีย] เรามีโอกาสทำโชว์ทำการแสดงเยอะกว่า มาที่นี่ก็เปิดหูเปิดตาว่าเรามีงานที่เราแสดงได้ เป็นอาชีพได้ ทำงานที่นี่ตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นแพทริคกล่าว
อย่างไรก็ตาม แพทริคให้ความเห็นว่าภาพนำเสนอของคนกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศหรือ LGBTQ ในสื่อของออสเตรเลียยังคงน้อยอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสื่อในประเทศไทย เขาชี้ว่าสื่อของไทยนั้นไม่กลัวที่จะฉายภาพของเกย์ กะเทย หรือทรานส์เจนเดอร์ และในฐานะที่เคยโตมากับสื่อไทยในตอนเด็ก แพทริคคิดว่าภาพนำเสนอของคนกลุ่มนี้ในสื่อไทยนั้นมีมากกว่า และพวกเขาไม่ได้ดูแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
“เราไม่ได้แปลกประหลาดไปจากคนอื่นเลย มันก็เป็นงานของเรา เราก็ทำงานสุจริตเหมือนทุกคน เราเป็นคนที่มีแพชชั่นในงานศิลป์ของพวกเรา” แพทริคเสริม
และถึงแม้ว่าภาพของทรานส์เจนเดอร์จะผูกติดกับการแสดงของแดรกควีน สีสันฉูดฉาดจากเครื่องสำอางและวิกผมอลังการ แพทริคกลับมองว่าแท้จริงแล้วหัวใจของการแสดงแดรกควีนคือการลบเส้นแบ่งระหว่างชายหญิง และเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของคนกลุ่มเควียร์
“เราคิดว่าหลักการของพวกเราคือการโอบกอดคนทุกกลุ่ม ใครที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยเห็นคนกลุ่มเควียร์ เราก็อยากจะชวนให้มาดูโชว์ของพวกเรา แล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งไม่ดีเลย ไม่ใช่สิ่งที่แปลกปลอม คุณเองก็เปิดใจและเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเราได้ ความกลัวที่มีจะหมดไปแล้วตัวตนของพวกเราจะไม่ใช่สิ่งแปลกประหลาดอีกต่อไป”