เสียงสะท้อนของคนไทยในออสเตรเลียจากปมคลิปเสียงถึงความหวั่นกลัวอนาคตการเมืองไทย

รายงานข่าวสายตรงจากเมืองไทย โดย เอสบีเอส ไทย นำเสนอทุกคืนวันพฤหัสบดี

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย Source: Pixabay

จากกรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีไทยที่ยอมรับว่าเป็นบทสนทนากับอดีตผู้นำกัมพูชา กลายเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สร้างแรงกระเพื่อมอย่างหนักในสังคมไทย เอสบีเอสไทยสำรวจเสียงสะท้อนจากชุมชนไทยในออสเตรเลียแสดงความกังวลต่อความไม่โปร่งใสของรัฐบาล เสถียรภาพของพรรคร่วม และความเป็นไปได้ของการรัฐประหารที่อาจเกิดขึ้นซ้ำอีกครั้งหรือไม่


การหลุดของคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา สมเด็จฮุนเซน

กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยและวงการเมืองอย่างร้อนแรง

ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคลิปแพร่กระจาย พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาล

พร้อมด้วยแรงกระเพื่อมจากพรรคฝ่ายค้าน วุฒิสภา และประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ

ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนก็จับตามองด้วยความกังวลไม่น้อย

เอสบีเอสไทยสอบถามความคิดเห็นของชาวไทยในออสเตรเลียที่สะท้อนมุมมองที่หลากหลาย

แต่มีจุดร่วมชัดเจนคือความไม่ไว้วางใจต่อความโปร่งใสของระบบการเมือง และความหวั่นเกรงต่อการย้อนกลับไปสู่ระบอบอำนาจนอกระบบ

เมื่อภาวะผู้นำถูกตั้งคำถาม

เสียงจากคนในชุมชนไทยในนครเมลเบิร์นอย่าง บัว รุจิเรข ตัณฑ์พะลัง ให้ความเห็นว่าการสนทนาลับดังกล่าวไม่ใช่เพียงความผิดพลาดด้านการสื่อสาร แต่ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้นำทางการเมืองไทยในปัจจุบัน

“เป็นปัญหาเรื่องภาวะผู้นำเลยค่ะ เพราะการคุยกับผู้นำประเทศอื่นในเชิงส่วนตัวโดยไม่ผ่านกลไกทางการทูตหรือกฎหมาย มันสะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพ และยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลแย่ลง”
บัว.jpeg
บัว รุจิเรข ตัณฑ์พะลัง คนไทยในนครเมลเบิร์น Credit: Supplied
เธอยังกล่าวอีกว่า ในภาวะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพเปราะบาง ผู้นำควรแสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ปัจจัยภายนอกเข้ามาแทรกแซงหรือใช้เป็นช่องโหว่ทางการเมือง

"เรื่องนี้มันจะทําให้เสถียรภาพของรัฐบาลจากที่ปกติคือไม่ดีอยู่แล้วมันจะแย่ ลงไปอีก ไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำแบบเดิมอีกไหม คือรัฐประหารอีกหรือเปล่า"

บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา จากนครเมลเบิร์นก็สะท้อนความกังวลในทิศทางเดียวกัน โดยชี้ว่ารัฐบาลกำลังสูญเสียความชอบธรรมทั้งจากภายในและภายนอก
ในฐานะคนที่อยู่ไกลบ้านรู้สึกกังวลเพราะกลัวว่าเราจะเห็นการเมืองไทยในรูปแบบเดิมที่วนซ้ำไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เราเจอมาตั้งแต่เล็ก
บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา
"ทั้งเรื่องของอํานาจเฉพาะกลุ่มการเมืองเบื้องหลัง และเรื่องของการไม่รับผิดชอบต่อสาธารณะทําให้เกิดสภาพสังคมที่เป็นแบบนี้"

"แต่ว่าเราก็ยังคงมีความหวังอยู่ รู้สึกว่าประชาชนไทยในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนรุ่นใหม่ที่กล้าจะตั้งคําถาม กล้าที่จะเรียกร้องแล้วก็ไม่ยอมรับอะไรที่เพียงเพราะว่ามันเคยมาเป็นแบบนี้"

"ก็หวังว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าด้วยมือประชาชน และการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ"

ประชาชนได้อะไรจากการเมืองแบบนี้?

จา ชาวไทยในซิดนีย์บอกกับเอสบีเอสไทยว่าน่าเสียดายที่ปฎิกิริยาทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยและแนวนโยบายที่เหมือนต้องการปลุกกระแสชาตินิยมให้กลับมาอีกครั้ง

"ผมคิดว่ามันน่าเสียดายไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาจากพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาแถลงการณ์ทันที หรือหลายๆ อย่างจากแนวทางนโยบายของพรรค แต่ที่ผมเสียดายมากที่สุดคือมันเหมือนปลุกกระแสชาตินิยมกลับเข้ามาอีกแล้ว"

จา ยังสะท้อนถึงความสิ้นหวังในระบบการเมืองที่หมุนวนอยู่ในวังวนเดิม ๆ โดยเฉพาะการเมืองแบบลับ ๆ หลังบ้าน ที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง

“มันคือการเมืองแบบเดิม ที่ไม่โปร่งใส ประชาชนไม่ได้อะไรเลยจากการเจรจาลับ ๆ ที่มักไม่เคยทำตามสัญญา จะหวังอะไรอีกในเมื่อเห็นมาแล้วหลายครั้ง”

เขายังกล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการที่รัฐประหารกลายเป็น “เรื่องปกติ” ในวัฒนธรรมการเมืองไทย
รัฐประหารควรเป็นเรื่องผิดปกติ แต่มันกลายเป็นทางออกที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
จา สมาชิกชุมชนไทยในซิดนีย์
Ngamdee.jpeg
บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา จากนครเมลเบิร์นสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอนาคตการเมืองไทย Credit: Supplied
ขณะที่บ๊วย มองว่าในทุกครั้งที่การเมืองเผชิญวิกฤต เสียงเรียกร้องให้ใช้อำนาจพิเศษมักกลับมาเสมอ พร้อมกับคำอ้างเรื่อง “ความสงบเรียบร้อย”

“เรากลัวว่าจะกลับไปใช้สูตรเดิม เช่น มาตรา 44 หรือการจัดตั้งรัฐบาลโดยองค์กรพิเศษ ซึ่งสุดท้ายประชาธิปไตยไทยก็ไม่เคยเติบโตเต็มที่ ต้องนับหนึ่งใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

"คลิปเสียง" ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยจากภายนอก

ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์ุ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ความเห็นว่าแม้การเจรจาระหว่างผู้นำประเทศจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ

แต่การเปิดเผยคลิปเสียงโดยฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการผิดมารยาททางการทูต และส่งผลต่อเสถียรภาพภายในของไทยอย่างชัดเจน

"การทูตเนี่ยคือการพูดมันคือการเจรจาระหว่างประเทศอยู่แล้ว มันมีทั้งขั้นเปิดเผยและขั้นที่ต่อสายถึงกัน ผมก็เชื่อว่าผู้นํามหาอํานาจอย่างอเมริกาอย่างรัสเซียอย่างจีนเนี่ย เค้าต้องมีดีลกัน มากกว่าเรื่องนี้แน่นอน เพียงแต่ว่าโดยมารยาททางการทูตมันจะไม่มีการเอาแมสเสจพวกเนี้ยออกมาเปิดเผยให้กับสาธารณชนรู้"
แต่สิ่งที่ฮุนเซนทํามันคือการผิดมารยาททางการทูต
ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์ุ
อย่างไรก็ตาม เขาให้ความเห็นว่าใช้คลิปเสียงไม่ใช่การแทรกแซงภายในโดยตรง แต่เป็นการหวังผลที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้างในมากกว่า

"เราเห็นการถอนตัวของภูมิใจไทย การเคลื่อนไหวของกลุ่ม สว.จํานวนหนึ่งที่ออกมาต้องการให้นายกลาออกหรือยุบสภา แม้แต่พรรคฝ่ายค้านเองเนี่ยเขาก็พยายามจะเสนอทางออกให้ว่าล้างไพ่จัดการเลือกตั้งใหม่"

"เรื่องแบบนี้เอาเข้าจริงแล้วมันควรจะต้องเกิดจากปัจจัยข้างใน แต่มันถูกโยงไปจากข้างนอก ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องของการแทรกแซงแต่มันเป็น การหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนข้างในมากกว่าครับ"

เขายังกล่าวด้วยว่า แม้การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีจะช้าในสายตาประชาชน แต่ก็ถือเป็นการตั้งหลักและแสดงความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการออกมาพร้อมเหล่าผู้นำเหล่าทัพ เพื่อยืนยันความเป็นปึกแผ่น
Dr. Siwapol.jpeg
ดร.ศิวพล ชมภูพันธุ์ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ Credit: Supplied
ดร. ศิวพล มองว่าหากจะคาดเดาทางออกของกระดานการเมืองในขณะนี้ อาจจะเป็นไปได้หลักๆ 3 ทาง ดร. ศิวพล วิเคาระห์ว่า ทางแรกคือรัฐบาลยังจะบริหารต่อไปแต่การเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ อาจจะยากต่อการบริหารหรือไม่ ทางที่สองคือ การยุบสภา

"วันนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเราจะเห็นความต่างระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านที่มีคะแนนเสียงต่างกันเพียงแค่ 30 ทางออกหลายคนเชียร์ให้ยุบสภา ซึ่งอันนั้นก็ถือว่าเป็นการล้างไพ่แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าวันนี้แรงกระเพื่อมทางการเมือง จับตายากมากเลยถ้ามันมีการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้น” ดร.ศิวพลกล่าว

และสุดท้ายคือทางที่สามซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หากเหตุการณ์นี้ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบและแก้ไขก็อาจนำไปสู่ “ภาวะสุญญากาศทางการเมือง” ที่เปิดทางให้มีการใช้อำนาจพิเศษหรือการรัฐประหารกลับมาอีกครั้ง

ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังติดอยู่ในวงจรซ้ำเดิมที่ประชาชนต้องนับหนึ่งใหม่อยู่เสมอ

สถานการณ์การเมืองไทยยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและยากต่อการคาดเดา ดร. ศิวพล เตือนว่า การเมืองไทยในขณะนี้ยังร้อนแรง

ที่ "ทุกชั่วโมงมีโอกาสเปลี่ยนเกม" และประชาชนยังต้องจับตาอย่างไม่กระพริบ

“อย่างเมื่อเช้าเนี่ยผมตื่นมากินข้าวเช้าผมเจอข่าวนึง พอตอนสายๆผมออกไปทําธุระก็เจอข่าวนึงเดี๋ยวพอเมื่อกี้มาเปิดทีวีก่อนคุยก็เจออีกข่าวหนึ่ง...ต้องจับตาดูกันต่อไป”

ฟังเรื่องนี้:
ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Recommended for you

Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand