การหลุดของคลิปเสียงสนทนาส่วนตัวระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย แพทองธาร ชินวัตร และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและประธานวุฒิสภาของกัมพูชา สมเด็จฮุนเซน
กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมไทยและวงการเมืองอย่างร้อนแรง
ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังคลิปแพร่กระจาย พรรคภูมิใจไทยประกาศถอนตัวจากรัฐบาล
พร้อมด้วยแรงกระเพื่อมจากพรรคฝ่ายค้าน วุฒิสภา และประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแสดงความรับผิดชอบ
ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว คนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างแดนก็จับตามองด้วยความกังวลไม่น้อย
เอสบีเอสไทยสอบถามความคิดเห็นของชาวไทยในออสเตรเลียที่สะท้อนมุมมองที่หลากหลาย
แต่มีจุดร่วมชัดเจนคือความไม่ไว้วางใจต่อความโปร่งใสของระบบการเมือง และความหวั่นเกรงต่อการย้อนกลับไปสู่ระบอบอำนาจนอกระบบ
เมื่อภาวะผู้นำถูกตั้งคำถาม
เสียงจากคนในชุมชนไทยในนครเมลเบิร์นอย่าง บัว รุจิเรข ตัณฑ์พะลัง ให้ความเห็นว่าการสนทนาลับดังกล่าวไม่ใช่เพียงความผิดพลาดด้านการสื่อสาร แต่ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของผู้นำทางการเมืองไทยในปัจจุบัน
“เป็นปัญหาเรื่องภาวะผู้นำเลยค่ะ เพราะการคุยกับผู้นำประเทศอื่นในเชิงส่วนตัวโดยไม่ผ่านกลไกทางการทูตหรือกฎหมาย มันสะท้อนถึงความไม่เป็นมืออาชีพ และยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของรัฐบาลแย่ลง”

บัว รุจิเรข ตัณฑ์พะลัง คนไทยในนครเมลเบิร์น Credit: Supplied
"เรื่องนี้มันจะทําให้เสถียรภาพของรัฐบาลจากที่ปกติคือไม่ดีอยู่แล้วมันจะแย่ ลงไปอีก ไม่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำแบบเดิมอีกไหม คือรัฐประหารอีกหรือเปล่า"
บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา จากนครเมลเบิร์นก็สะท้อนความกังวลในทิศทางเดียวกัน โดยชี้ว่ารัฐบาลกำลังสูญเสียความชอบธรรมทั้งจากภายในและภายนอก
ในฐานะคนที่อยู่ไกลบ้านรู้สึกกังวลเพราะกลัวว่าเราจะเห็นการเมืองไทยในรูปแบบเดิมที่วนซ้ำไปเรื่อยๆ เหมือนกับที่เราเจอมาตั้งแต่เล็กบ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา
"ทั้งเรื่องของอํานาจเฉพาะกลุ่มการเมืองเบื้องหลัง และเรื่องของการไม่รับผิดชอบต่อสาธารณะทําให้เกิดสภาพสังคมที่เป็นแบบนี้"
"แต่ว่าเราก็ยังคงมีความหวังอยู่ รู้สึกว่าประชาชนไทยในยุคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนรุ่นใหม่ที่กล้าจะตั้งคําถาม กล้าที่จะเรียกร้องแล้วก็ไม่ยอมรับอะไรที่เพียงเพราะว่ามันเคยมาเป็นแบบนี้"
"ก็หวังว่าประเทศไทยจะเดินไปข้างหน้าด้วยมือประชาชน และการเปลี่ยนผ่านที่ไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ"
ประชาชนได้อะไรจากการเมืองแบบนี้?
จา ชาวไทยในซิดนีย์บอกกับเอสบีเอสไทยว่าน่าเสียดายที่ปฎิกิริยาทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเช่น การถอนตัวของพรรคภูมิใจไทยและแนวนโยบายที่เหมือนต้องการปลุกกระแสชาตินิยมให้กลับมาอีกครั้ง
"ผมคิดว่ามันน่าเสียดายไม่ว่าจะเป็นปฏิกิริยาจากพรรคภูมิใจไทยที่ออกมาแถลงการณ์ทันที หรือหลายๆ อย่างจากแนวทางนโยบายของพรรค แต่ที่ผมเสียดายมากที่สุดคือมันเหมือนปลุกกระแสชาตินิยมกลับเข้ามาอีกแล้ว"
จา ยังสะท้อนถึงความสิ้นหวังในระบบการเมืองที่หมุนวนอยู่ในวังวนเดิม ๆ โดยเฉพาะการเมืองแบบลับ ๆ หลังบ้าน ที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
“มันคือการเมืองแบบเดิม ที่ไม่โปร่งใส ประชาชนไม่ได้อะไรเลยจากการเจรจาลับ ๆ ที่มักไม่เคยทำตามสัญญา จะหวังอะไรอีกในเมื่อเห็นมาแล้วหลายครั้ง”
เขายังกล่าวว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือการที่รัฐประหารกลายเป็น “เรื่องปกติ” ในวัฒนธรรมการเมืองไทย
รัฐประหารควรเป็นเรื่องผิดปกติ แต่มันกลายเป็นทางออกที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ จนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วจา สมาชิกชุมชนไทยในซิดนีย์

บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา จากนครเมลเบิร์นสะท้อนความกังวลเกี่ยวกับอนาคตการเมืองไทย Credit: Supplied
“เรากลัวว่าจะกลับไปใช้สูตรเดิม เช่น มาตรา 44 หรือการจัดตั้งรัฐบาลโดยองค์กรพิเศษ ซึ่งสุดท้ายประชาธิปไตยไทยก็ไม่เคยเติบโตเต็มที่ ต้องนับหนึ่งใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
"คลิปเสียง" ปัจจัยการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยจากภายนอก
ดร.ศิวพล ชมภูพันธ์ุ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้ความเห็นว่าแม้การเจรจาระหว่างผู้นำประเทศจะไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
แต่การเปิดเผยคลิปเสียงโดยฝ่ายกัมพูชาถือเป็นการผิดมารยาททางการทูต และส่งผลต่อเสถียรภาพภายในของไทยอย่างชัดเจน
"การทูตเนี่ยคือการพูดมันคือการเจรจาระหว่างประเทศอยู่แล้ว มันมีทั้งขั้นเปิดเผยและขั้นที่ต่อสายถึงกัน ผมก็เชื่อว่าผู้นํามหาอํานาจอย่างอเมริกาอย่างรัสเซียอย่างจีนเนี่ย เค้าต้องมีดีลกัน มากกว่าเรื่องนี้แน่นอน เพียงแต่ว่าโดยมารยาททางการทูตมันจะไม่มีการเอาแมสเสจพวกเนี้ยออกมาเปิดเผยให้กับสาธารณชนรู้"
แต่สิ่งที่ฮุนเซนทํามันคือการผิดมารยาททางการทูตดร.ศิวพล ชมภูพันธ์ุ
อย่างไรก็ตาม เขาให้ความเห็นว่าใช้คลิปเสียงไม่ใช่การแทรกแซงภายในโดยตรง แต่เป็นการหวังผลที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงข้างในมากกว่า
"เราเห็นการถอนตัวของภูมิใจไทย การเคลื่อนไหวของกลุ่ม สว.จํานวนหนึ่งที่ออกมาต้องการให้นายกลาออกหรือยุบสภา แม้แต่พรรคฝ่ายค้านเองเนี่ยเขาก็พยายามจะเสนอทางออกให้ว่าล้างไพ่จัดการเลือกตั้งใหม่"
"เรื่องแบบนี้เอาเข้าจริงแล้วมันควรจะต้องเกิดจากปัจจัยข้างใน แต่มันถูกโยงไปจากข้างนอก ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้เป็นเรื่องของการแทรกแซงแต่มันเป็น การหวังผลให้เกิดการเปลี่ยนข้างในมากกว่าครับ"
เขายังกล่าวด้วยว่า แม้การแถลงข่าวของนายกรัฐมนตรีจะช้าในสายตาประชาชน แต่ก็ถือเป็นการตั้งหลักและแสดงความรับผิดชอบในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการออกมาพร้อมเหล่าผู้นำเหล่าทัพ เพื่อยืนยันความเป็นปึกแผ่น

ดร.ศิวพล ชมภูพันธุ์ อาจารย์ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ Credit: Supplied
"วันนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเราจะเห็นความต่างระหว่างพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านที่มีคะแนนเสียงต่างกันเพียงแค่ 30 ทางออกหลายคนเชียร์ให้ยุบสภา ซึ่งอันนั้นก็ถือว่าเป็นการล้างไพ่แต่คุณก็ต้องเข้าใจว่าวันนี้แรงกระเพื่อมทางการเมือง จับตายากมากเลยถ้ามันมีการเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้น” ดร.ศิวพลกล่าว
และสุดท้ายคือทางที่สามซึ่งไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หากเหตุการณ์นี้ไม่มีการแสดงความรับผิดชอบและแก้ไขก็อาจนำไปสู่ “ภาวะสุญญากาศทางการเมือง” ที่เปิดทางให้มีการใช้อำนาจพิเศษหรือการรัฐประหารกลับมาอีกครั้ง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยยังติดอยู่ในวงจรซ้ำเดิมที่ประชาชนต้องนับหนึ่งใหม่อยู่เสมอ
สถานการณ์การเมืองไทยยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและยากต่อการคาดเดา ดร. ศิวพล เตือนว่า การเมืองไทยในขณะนี้ยังร้อนแรง
ที่ "ทุกชั่วโมงมีโอกาสเปลี่ยนเกม" และประชาชนยังต้องจับตาอย่างไม่กระพริบ
“อย่างเมื่อเช้าเนี่ยผมตื่นมากินข้าวเช้าผมเจอข่าวนึง พอตอนสายๆผมออกไปทําธุระก็เจอข่าวนึงเดี๋ยวพอเมื่อกี้มาเปิดทีวีก่อนคุยก็เจออีกข่าวหนึ่ง...ต้องจับตาดูกันต่อไป”
ฟังเรื่องนี้: