Analysis

หลายศตวรรษแห่งการเรียกร้อง: รัฐวิกตอเรียอาจมีสนธิสัญญากับชาวพื้นเมืองฉบับแรกของประเทศ ภายในปีหน้า

จากหลายปีของการอภิปรายและการวิเคราะห์อย่างเข้มข้น สิ่งที่ชนพื้นเมืองต่อสู้มากว่า 200 ปีอาจกำลังเห็นผล สนธิสัญญาระหว่างออสเตรเลียกับชนพื้นเมืองกำลังเดินหน้าสู่ความเป็นจริงในรัฐวิกตอเรีย คาดแล้วเสร็จภายในปี 2026

A group of people standing in front of a mural, with a large banner painted on it that says "Sovereignty".

กลุ่มชนพื้นเมืองยืนอยู่หน้าภาพจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งมีคำว่า “อธิปไตย” Source: AAP / Diego Fedele

หลังการลงประชามติ Voice to Parliamant ปี 2023 ล้มเหลว รัฐบาลสหพันธรัฐมีทีท่าถอยฉากจากแนวคิดการจัดทำสนธิสัญญาระดับชาติร่วมกับชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย

แต่รัฐบาลรัฐวิกตอเรียกลับเดินหน้าเต็มที่ โดยตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงระดับมลรัฐภายในเดือนมิถุนายนปีหน้า (2026)

นาตาลี ฮัทชินส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสนธิสัญญาและกิจการชนพื้นเมืองแห่งรัฐวิกตอเรีย กล่าวต่อคณะกรรมาธิการตรวจสอบงบประมาณและบัญชีสาธารณะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 มิถุนายนว่า เธอต้องการให้มีการออกกฎหมายใหม่ภายในปีนี้ และให้มีการลงนามในสนธิสัญญา (treaty) ก่อนสิ้นปีงบประมาณหน้า

โดยการเจรจาในรัฐวิกตอเรียเริ่มต้นเมื่อปี 2021 และกระบวนการเจรจาระหว่างรัฐบาลรัฐวิกตอเรียกับกลุ่มตัวแทนชนพื้นเมืองก็เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2024

อย่างไรก็ตาม การเรียกร้องให้รับรองอธิปไตยของชนพื้นเมือง และเส้นทางสู่ข้อตกลงอย่างเป็นทางการนั้น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ก่อนที่ธงยูเนียนแจ็กของสหราชอาณาจักรจะถูกปักลงบนผืนแผ่นดินอะบอริจิน

ประวัติศาสตร์ว่าด้วยการรับรองอธิปไตยของชนพื้นเมือง

ย้อนไปเมื่อ 257 ปีที่แล้ว ขณะที่กัปตันเจมส์ คุกกำลังเตรียมออกเดินทางสู่มหาสมุทรแปซิฟิกบนเรือเอนเดฟเวอร์ เขาได้รับ “คำแนะนำ” บางประการจากเจมส์ ดักลาส เอิร์ลที่ 14 แห่งมอร์ตัน ประธานราชสมาคมแห่งอังกฤษในขณะนั้น

คำแนะนำกล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติต่อผู้คนในดินแดนที่กัปตันคุกและลูกเรือจะได้พบเจอ

“พวกเขาเป็นเจ้าของดินแดนที่พวกเขาอาศัยอยู่โดยชอบธรรม ทั้งในความหมายตามธรรมชาติ และตามกฎหมายอย่างแท้จริง” ดักลาสเขียนไว้

“ไม่มีชาติยุโรปใด มีสิทธิ์จะยึดครองหรือตั้งถิ่นฐานในดินแดนของพวกเขาได้ หากไม่ได้รับความยินยอมโดยสมัครใจจากพวกเขา การพิชิตโดยอ้างสิทธิเหนือผู้คนเหล่านี้ไม่อาจถือเป็นกรรมสิทธิ์อันชอบธรรมได้ เพราะพวกเขาไม่เคยเป็นผู้รุกรานก่อน”
หลังสงคราม ‘Black War’ สิ้นสุดลงในปี 1832 ชาวปาลาวาแห่งแทสเมเนียถูกกวาดล้างจนแทบสูญสิ้น ผู้ว่าการจอร์จ อาเธอร์ได้สรุปว่า “ความผิดพลาดร้ายแรงในการตั้งถิ่นฐานครั้งแรกของแวน ดีเมนส์ คือการไม่ได้ทำสนธิสัญญากับชนพื้นเมือง”

ในศตวรรษที่ 20 การเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการีทำสนธิสัญญากลับมาอีกครั้ง โดยมีทั้งผู้นำชาวอะบอริจินรุ่นใหม่และชาวออสเตรเลียร่วมผลักดัน

ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา บุคคลสำคัญอย่างนักเศรษฐศาสตร์และข้าราชการ เฮอร์เบิร์ต โคล ‘นักเก็ต’ คูมบ์ส และกวี จูดิธ ไรต์ ต่างมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งคณะกรรมการสนธิสัญญาชนพื้นเมือง (Aboriginal Treaty Committee) ระหว่างปี 1979–1983 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อผลักดันแนวคิดเรื่องสนธิสัญญาให้แพร่หลายในหมู่ชาวออสเตรเลียที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง

ในปี 1988 ที่เมืองบารุงกา อดีตนายกรัฐมนตรีบ็อบ ฮอว์กเคยให้คำมั่นซึ่งเป็นที่โจษจันว่าจะจัดทำสนธิสัญญาให้ได้ “ก่อนสิ้นสุดวาระของรัฐบาลชุดนี้”
แต่เมื่อรัฐบาลหมดวาระก็ยังคงไม่มีการทำสนธิสัญญา ความคับข้องใจของชาวพื้นเมืองได้ถูกส่งผ่านออกมาในบทเพลง “Treaty” ซิงเกิลระดับโลกของวง Yothu Yindi ในปี 1991 ที่เรียกร้องอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขอสนธิสัญญาเดี๋ยวนี้”

ในเวลาต่อมา สนธิสัญญากลายเป็น1 ใน 3 ข้อเรียกร้องสำคัญจากคำประกาศอูลูรูจากหัวใจ (Uluru Statement from the Heart) เมื่อปี 2017 แต่ภายหลังการลงประชามติ ‘Voice to Parliament’ ล้มเหลว อนาคตของการจัดทำสนธิสัญญาและกระบวนการเปิดเผยความจริงในระดับประเทศก็ยังคงคลุมเครือ

อย่างไรก็ตาม ในรัฐวิกตอเรีย การเจรจาระหว่างรัฐบาลรัฐกับกลุ่มตัวแทนชนพื้นเมืองยังคงดำเนินต่อไป และมีแนวโน้มว่าจะสามารถลงนามในสนธิสัญญาของรัฐได้ภายในเดือนมิถุนายนปี 2026

งารา เมอร์เรย์ หญิงชาว วัมบา วัมบา, ยอร์ตา ยอร์ตา, ดูดูโรอา และ จา จา วูรง เธอยังเป็นหนึ่งในประธานของสมัชชาชนพื้นเมืองรัฐวิกตอเรียกล่าวในรายการ The Point ทางช่อง NITV ว่า สนธิสัญญาฉบับนี้คือผลลัพธ์จากการต่อสู้ของหลายชั่วอายุคน

“ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เรามีพัฒนาการที่ดีในการวางรากฐานที่จำเป็นต่อการจัดทำสนธิสัญญาให้มั่นคงในระยะยาว” เธอกล่าว
สำหรับเรา สนธิสัญญาคือการเคลื่อนไหว มันคือการรื้อสร้างความสัมพันธ์ความสัมพันธ์ใหม่ ที่ตั้งอยู่บนความจริงและความรับผิดชอบ
เมอร์เรย์กล่าว
A woman with long black hair speaking, with others behind her.
เมอร์เรย์แถลงถึงกระบวนการทำสนธิสัญญากว่า 10 ปี ที่พัฒนาไปในทางที่ดี Source: AAP / Diego Fedele
นาโอมิ มอแรน หญิงชาวนยังบาลและอารักวอล หนึ่งในกรรมาธิการสนธิสัญญาแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ชุดใหม่กล่าวว่า

รัฐนิวเซาท์เวลส์เริ่มกรุยทางสู่กระบวนการจัดทำสนธิสัญญาในปี 2023 พร้อมให้คำมั่นว่าจะดำเนินการปรึกษาหารือกับชุมชนเป็นเวลา 12 เดือน

“เราทราบดีว่าหน้าที่ของเราคือการเข้าไปพูดคุยกับพี่น้องของเรา กับชาวอะบอริจินทั่วรัฐนิวเซาท์เวลส์ เกี่ยวกับคำถามสำคัญสองข้อ: คุณต้องการสนธิสัญญาหรือรูปแบบข้อตกลงอย่างเป็นทางการรูปแบบอื่นหรือไม่ และ มันควรจะมีลักษณะอย่างไร” มอแรนกล่าว

“สิ่งสำคัญมากในการรักษาความซื่อสัตย์และการวางตัวของเราในงานนี้ คือการเข้าใจว่า เรากำลังต้องรับมือกับทัศนคติของคนในสังคมวงกว้าง ที่ตลอดเวลากว่า 235 ปีที่ผ่านมา แทบไม่เคยหยุดคิดหรือพยายามเข้าใจว่าเราในฐานะชาวอะบอริจินคือใคร”

ในรัฐควีนส์แลนด์ กระบวนการ ‘Path to Treaty’ ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลแรงงานตั้งแต่ปี 2019 ถูกยกเลิกไปในปี 2024 โดยพรรคพันธมิตรเสรีนิยม
A man and two women standing near each other and smiling, in front of a wall that has a mural of people marching with signs displaying First Nations messages.
(จากซ้ายไปขวา) โจชัว ครีมเมอร์ อดีตประธานการไต่สวนความจริงและการเยียวยาแห่งรัฐควีนส์แลนด์ นาโอมิ มอแรน กรรมาธิการสนธิสัญญาแห่งรัฐนิวเซาท์เวลส์ และงารา เมอร์เรย์ ประธานร่วมของสมัชชาชนพื้นเมืองแห่งรัฐวิกตอเรีย Credit: NITV / The Point
สิ่งนั้นถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่สำหรับจอช ครีมเมอร์ ทนายความชาววานยีและคัลคาดูน อดีตประธานการไต่สวนความจริงและการเยียวยาของรัฐบาลควีนส์แลนด์ ซึ่งเป็นก้าวแรกของกระบวนการนำไปสู่ข้อตกลงอย่างเป็นทางการ

“เมื่อเปลี่ยนรัฐบาล ความเห็นทางการเมืองก็เปลี่ยน แล้วเราก็ถูกกันออกจากกระบวนการได้ง่าย ๆ มันน่าผิดหวังจริง ๆ” ครีมเมอร์กล่าว

“ตลอด 165 ปีแห่งการเป็นอาณานิคมของรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งแยกตัวจากรัฐนิวเซาท์เวลส์มา เราไม่เคยหยุดมองย้อนกลับไปเพื่อทำความเข้าใจเลยว่า ประวัติศาสตร์ของเรานั้นส่งผลกระทบอะไรต่อกลุ่มชนพื้นเมืองของเราบ้าง”

“ในการไต่สวนความจริงที่บริสเบน เรามีโอกาสรับฟังคำให้การจากพยานชาวอะบอริจินหลายคน ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่า คนที่ได้รับความเจ็บปวดและถูกกระทำอย่างเลวร้ายที่สุดในระบบของเรา คนที่เผชิญกับบาดแผลทางใจและการล่วงละเมิดมากที่สุด กลับเป็นคนที่ลุกขึ้นมาทำงานเพื่อความปรองดอง”

“และเมื่อฟังเรื่องราวที่พวกเขาเคยเผชิญมา แทบไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่พวกเขาควรต้องเป็นคนทำแบบนั้น แต่พวกเขากลับยื่นมือออกมาก่อน สิ่งที่พวกเราควรทำคือแค่รับฟัง และนั่นแหละคือแก่นแท้ของการเปิดเผยความจริง”

รายการ The Point ออกอากาศทุกคืนวันอังคาร เวลา 19.30 น. ทางช่อง NITV และสามารถรับชมย้อนหลังได้ทาง SBS On Demand

ติดตามเอสบีเอส ไทย ได้อีกทาง เว็บไซต์ หรือทาง เฟซบุ๊ก และ อินสตาแกรม

Share

Published

By John Paul Janke
Presented by Chollada Kromyindee
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand