The Stolen Generation: ประวัติศาสตร์แสนเจ็บปวดและผลกระทบที่ยังคงอยู่

KINCHELA BOYS HOME

ภาพประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นเด็กชายบางคนถูกนำตัวไปที่บ้านฝึกเด็กชายคินเชลลา เมืองเคมป์ซีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2024 และผู้รอดชีวิตจาก Stolen Generations เรียกร้องให้บ้านฝึกเด็กชายคินเชลลาเป็นสถานที่บอกเล่าความจริงและเยียวยาจิตใจในวันครบรอบ 100 ปีของสถาบัน Credit: SUPPLIED BY KINCHELA BOYS HOME ABORIGINAL CORPORATION/PR IMAGE

ออสเตรเลียมีประวัติศาสตร์ที่ดำมืดบทหนึ่ง เริ่มขึ้นหลังจากการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป เด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสจำนวนมากต้องถูกพรากจากครอบครัว และถูกบังคับให้อยู่ในสังคมคนขาว เรียกว่ายุค ‘Stolen Generation’ และความเจ็บปวดจากประสบการณ์อันบอบช้ำยังคงต้องการการเยียวยาและการยอมรับความจริง


ประเด็นสำคัย
  • เด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสหลายคนต้องถูกพรากจากครอบครัว เพื่อเข้าสังคมคนผิวขาว
  • การพรากเด็กเหล่านี้ก่อให้เกิดบาดแผลลึกที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
  • หลายชุมชนชนพื้นเมืองออสเตรเลียเยียวยาผ่านการสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและโครงการช่วยเหลือจำนวนมาก
  • การศึกษาและการยอมรับในระดับประเทศเป็นกุญแจสำคัญในกระบวนการเยียวยาเช่นกัน
*คำเตือน: เนื้อหาของพอดคาสต์นี้อาจกระทบจิตใจ เนื่องจากมีเรื่องราวของความเจ็บปวด การพรากเด็ก และการกล่าวถึงชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสที่ล่วงลับไปแล้ว

ตั้งแต่ปี 1910 จนถึงช่วงทศวรรษ 1970 เด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสนับพันคนถูกพรากจากครอบครัว ชุมชน และดินแดนของพวกเขา

ตามนโยบายของรัฐบาลในยุคนั้น เด็กเหล่านี้ถูกส่งไปอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือครอบครัวที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง ผ่านการทำงานของคริสตจักร สถานสงเคราะห์ และหน่วยงานรัฐ

ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่าเด็กชนพื้นเมืองจะมีชีวิตที่ดีกว่า หากเติบโตในสังคมคนขาว

แชนนอน ดอดสัน หญิงชาวเผ่ายาวูรู (บริเวณบรูมในปัจจุบัน) และผู้อำนวยการของมูลนิธิ Healing Foundation องค์กรระดับประเทศที่ทำงานเยียวยาให้แก่ผู้รอดชีวิตกล่าวว่า

“สิ่งที่น่าเศร้าคือเด็กหลายหมื่นคนถูกพรากจากครอบครัว เพียงเพราะต้องการให้พวกเขากลมกลืนกับวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของชนพื้นเมือง เด็กเหล่านี้ต้องถูกแยกจากครอบครัว วัฒนธรรม ชุมชน และภาษา เด็กหลายคนถูกล่วงละเมิด และอีกหลายคนไม่ได้พบครอบครัวอีกเลย”
โดยเด็กเล็กมักถูกเลือกเพราะมีแนวโน้มจะเชื่อฟังและมีแนวโน้มตัดขาดจากวัฒนธรรมเดิมได้ง่ายกว่า

“เราได้ยินเรื่องราวว่า ครอบครัวถูกแจ้งว่าเด็กเสียชีวิต หรือเด็กถูกบอกว่าครอบครัวไม่ต้องการพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสะเทือนใจและยาวนานหลายสิบปี”

จากการบันทึกข้อมูลที่ขาดหาย ทำให้ไม่สามารถระบุจำนวนเด็กที่ถูกพรากได้แน่ชัด แต่คาดว่าอาจสูงถึง 1 ใน 3 ของเด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสในขณะนั้น

สิ่งที่แน่ชัดคือชุมชนพื้นเมืองทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้ง และบาดแผลนั้นยังคงอยู่

สำหรับเด็กที่ถูกพราก ส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์ที่ดำเนินการโดยรัฐและศาสนาที่เรียกว่า ‘หอพัก’ หรือ ‘ศูนย์ฝึก’ และเด็กหลายคนต้องถูกพรากจากพี่น้องด้วย

ในปี 1943 ป้าลอเรน พีเตอร์ส หญิงชาวกามิลาโรยและวาลีวัน ถูกพรากจากครอบครัวเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ เพื่อเข้าอยู่ในบ้านฝึกอบรมสำหรับเด็กหญิงอะบอริจินในเมืองคูตามุนดรา ส่วนน้องชาย 2 คน ถูกส่งไปสถานฝึกเด็กชายที่คินเชลลา
ถ้าเราลืม ‘เป็นคนขาว’ จะถูกลงโทษโดยอัตโนมัติ เราถูกปลูกฝังให้เป็นคนขาว พูดเหมือนคนขาว แต่งตัวเหมือนคนขาว และประพฤติตนเหมือนคนขาว…
ป้าลอเรนผู้รอดชีวิตจากการถูกพรากจากครอบครัวตั้งแต่เด็กกล่าว
"จนในที่สุดมันก็ซึมเข้าไปในหัวเราว่า การเป็นคนดำคือสิ่งที่ไม่ดี เราไม่สามารถแม้แต่จะพูดว่าเราเป็นชาวอะบอริจิน เด็กสี่ขวบถูกล้างสมองจนลืมทุกอย่างเกี่ยวกับชนชาติดั้งเดิม และเรียนรู้วิถีคนขาวแทน การลงโทษก็เลวร้ายมากในสถานที่เหล่านั้น”
Stolen Generations Accept Apology From Kevin Rudd On Sorry Day
ผู้รอดชีวิตจาก Stolen Generation ของออสเตรเลียขณะฟังอดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รัดด์ กล่าวขอโทษชนพื้นเมือง สำหรับการปฏิบัติต่อพวกเขาในอดีต Credit: Getty Images/Pool
ป้าลอเรนถูกฝึกเป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวคนขาวนับ 10 ปี

วันนี้เธอเป็นผู้ก่อตั้งโครงการเยียวยา Marumali สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ถูกพรากโดยเฉพาะ

เธอกล่าวว่า หากไม่ได้รับการเยียวยา ความบอบช้ำจะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

“มันคือวงจรที่เลวร้าย ถ้าเราไม่ตัดมันให้ขาด มันจะดำเนินต่อไป ลองนึกถึงผู้รอดชีวิตที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ และไม่มีแนวทางในการช่วยเหลือลูกๆ ของพวกเขาเลย”

ความบอบช้ำข้ามรุ่นนี้เกิดจากการที่ลูกหลานเห็นพ่อแม่และปู่ย่าต้องเผชิญกับความเจ็บปวด โดยที่ไม่ได้รับคำอธิบายหรือถูกเยียวยา

แชนนอน ดอดสัน อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า

“ผู้รอดชีวิตจำนวนมากไม่ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ไม่เคยได้รับการดูแลอย่างแท้จริง พวกเขาจึงเลี้ยงลูกลำบาก บางคนยอมรับว่าได้ส่งต่อบาดแผลเหล่านี้ให้กับลูกหลาน และนั่นคือเหตุผลที่เราเรียกมันว่า ‘ความบอบช้ำข้ามรุ่น’”
Shannan Dodson CEO Healing Foundation.png
แชนนอน ดอดสัน ผู้อำนวยการของมูลนิธิ Healing Foundation
อาการเหล่านี้เห็นได้จากสถิติการหย่าร้างสูง ความรุนแรง การติดคุก การฆ่าตัวตาย และการใช้สารเสพติดในอัตราสูง

ปัจจุบัน หลายชุมชนกำลังทำงานเพื่อหยุดวงจรนี้ด้วยวิธีการเยียวยา

“การเยียวยาแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่สิ่งสำคัญคือผู้รอดชีวิตต้องมีสิทธิ์กำหนดวิธีเยียวยาของตัวเอง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเป็นเจ้าของ การสร้างความสัมพันธ์ และการศึกษา”

การเยียวยายังหมายถึงการสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน และการเรียกคืนอัตลักษณ์ด้วย

“การสร้างสายสัมพันธ์กับวัฒนธรรม แผ่นดินเกิด และภาษา เป็นหัวใจของการเยียวยา เพราะมันสร้างความรู้สึกว่าคุณมีที่ยืน มีรากฐาน มีชุมชนที่ยอมรับคุณ”
Australian Aboriginal Girl Visiting the Doctor
องค์ประกอบสำคัญของการเยียวยาคือการให้ความรู้ เพื่อให้ชาวออสเตรเลียเข้าใจความจริงเกี่ยวกับ Stolen Generations Credit: davidf/Getty Images
นอกจากนี้ ผู้รอดชีวิตยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการเล่าเรื่องและพูดถึงความอยุติธรรมในอดีต

องค์กร Coota Girls Aboriginal Corporation ก่อตั้งโดยอดีตผู้พักอาศัยในสถานสงเคราะห์แห่งนั้น มีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนการเยียวยาของผู้รอดชีวิตและครอบครัว

ป้าลอเรนกล่าวว่า หากคุณถูกทำร้ายด้วยกัน คุณสามารถเยียวยาร่วมกันได้

“เมื่อเราอยู่ในวงสนทนา เรากำลังสร้างการเยียวยาร่วมกัน เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการมีอยู่ของกันและกัน พวกเขาพูด พวกเขาแบ่งปันเรื่องราว พวกเขาเยียวยากันด้วยคำพูด และตราบใดที่เรายังมารวมตัวกัน เราก็ไม่ถูกลืม”

อีกแนวทางหนึ่งคือการให้ความรู้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจถึงความอยุติธรรมในอดีต

“ฉันอยากให้คนที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองเปิดโอกาสให้ลูกหลานเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง และรื้อระบบเดิมที่เขียนนโยบายเหยียดเชื้อชาติ มันต้องถูกรื้อและเขียนขึ้นใหม่”
จุดเปลี่ยนเริ่มขึ้นในปี 2008 เมื่อเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวคำขอโทษต่อคนรุ่นที่ถูกพราก ครอบครัวและลูกหลานของพวกเขา

หลังจากนั้นมีโครงการจำนวนมากเกิดขึ้น รวมถึงการก่อตั้ง Healing Foundation

“เรากำลังผลักดันให้มี ‘แผนเยียวยาแห่งชาติ (national healing package)’ เพื่อความยุติธรรมที่ผู้รอดชีวิตควรได้รับ ก่อนที่พวกเขาจะหมดอายุขัยไป”

ด้วยความเชื่อที่ว่า การเยียวยาที่แท้จริงต้องเกิดจากการที่ทุกคนรับฟัง และให้ผู้รอดชีวิตได้ทวงคืนเรื่องราวของตนเอง
Australia Commemorates National Sorry Day
ลีลลา เวงเบิร์ก ผู้รอดชีวิตจากยุค Stolen Generation ที่ถูกพรากจากรถของพ่อแม่ของเธอ เมื่ออายุได้ 6 เดือน กำลังถือเทียนในงานรำลึกวัน National Sorry Dayที่โรงพยาบาล Royal Prince Alfred Credit: Sergio Dionisio/Getty Images

Australia Explained เป็นพอดคาสต์ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย

คุณสามารถส่งคำถามหรือไอเดียหัวข้อที่น่าสนใจมาได้ที่ australiaexplained@sbs.com.au

ติดตามเอสบีเอส ไทย ได้อีกทาง เว็บไซต์ | เฟซบุ๊ก | อินสตาแกรม

ฟังพอดคาสต์ของเอสบีเอส ไทยผ่านแอปพลิเคชัน SBS Audio ดาวน์โหลดจาก Apple Store หรือจาก Google Play  


Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand