ประเด็นสำคัย
- เด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสหลายคนต้องถูกพรากจากครอบครัว เพื่อเข้าสังคมคนผิวขาว
- การพรากเด็กเหล่านี้ก่อให้เกิดบาดแผลลึกที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
- หลายชุมชนชนพื้นเมืองออสเตรเลียเยียวยาผ่านการสานสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและโครงการช่วยเหลือจำนวนมาก
- การศึกษาและการยอมรับในระดับประเทศเป็นกุญแจสำคัญในกระบวนการเยียวยาเช่นกัน
*คำเตือน: เนื้อหาของพอดคาสต์นี้อาจกระทบจิตใจ เนื่องจากมีเรื่องราวของความเจ็บปวด การพรากเด็ก และการกล่าวถึงชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสที่ล่วงลับไปแล้ว
ตั้งแต่ปี 1910 จนถึงช่วงทศวรรษ 1970 เด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสนับพันคนถูกพรากจากครอบครัว ชุมชน และดินแดนของพวกเขา
ตามนโยบายของรัฐบาลในยุคนั้น เด็กเหล่านี้ถูกส่งไปอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือครอบครัวที่ไม่ใช่ชนพื้นเมือง ผ่านการทำงานของคริสตจักร สถานสงเคราะห์ และหน่วยงานรัฐ
ด้วยเหตุผลที่เชื่อว่าเด็กชนพื้นเมืองจะมีชีวิตที่ดีกว่า หากเติบโตในสังคมคนขาว
แชนนอน ดอดสัน หญิงชาวเผ่ายาวูรู (บริเวณบรูมในปัจจุบัน) และผู้อำนวยการของมูลนิธิ Healing Foundation องค์กรระดับประเทศที่ทำงานเยียวยาให้แก่ผู้รอดชีวิตกล่าวว่า
“สิ่งที่น่าเศร้าคือเด็กหลายหมื่นคนถูกพรากจากครอบครัว เพียงเพราะต้องการให้พวกเขากลมกลืนกับวัฒนธรรมที่ไม่ใช่ของชนพื้นเมือง เด็กเหล่านี้ต้องถูกแยกจากครอบครัว วัฒนธรรม ชุมชน และภาษา เด็กหลายคนถูกล่วงละเมิด และอีกหลายคนไม่ได้พบครอบครัวอีกเลย”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

คนไทยในออสเตรเลียถกประเด็นวันชาติ ยังควรเป็นวันที่ 26 มกราคมหรือไม่?
โดยเด็กเล็กมักถูกเลือกเพราะมีแนวโน้มจะเชื่อฟังและมีแนวโน้มตัดขาดจากวัฒนธรรมเดิมได้ง่ายกว่า
“เราได้ยินเรื่องราวว่า ครอบครัวถูกแจ้งว่าเด็กเสียชีวิต หรือเด็กถูกบอกว่าครอบครัวไม่ต้องการพวกเขา มันเป็นช่วงเวลาที่น่าสะเทือนใจและยาวนานหลายสิบปี”
จากการบันทึกข้อมูลที่ขาดหาย ทำให้ไม่สามารถระบุจำนวนเด็กที่ถูกพรากได้แน่ชัด แต่คาดว่าอาจสูงถึง 1 ใน 3 ของเด็กชาวอะบอริจินและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรสในขณะนั้น
สิ่งที่แน่ชัดคือชุมชนพื้นเมืองทั้งหมดได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้ง และบาดแผลนั้นยังคงอยู่
สำหรับเด็กที่ถูกพราก ส่วนหนึ่งถูกส่งไปยังสถานสงเคราะห์ที่ดำเนินการโดยรัฐและศาสนาที่เรียกว่า ‘หอพัก’ หรือ ‘ศูนย์ฝึก’ และเด็กหลายคนต้องถูกพรากจากพี่น้องด้วย
ในปี 1943 ป้าลอเรน พีเตอร์ส หญิงชาวกามิลาโรยและวาลีวัน ถูกพรากจากครอบครัวเมื่ออายุเพียง 4 ขวบ เพื่อเข้าอยู่ในบ้านฝึกอบรมสำหรับเด็กหญิงอะบอริจินในเมืองคูตามุนดรา ส่วนน้องชาย 2 คน ถูกส่งไปสถานฝึกเด็กชายที่คินเชลลา
ถ้าเราลืม ‘เป็นคนขาว’ จะถูกลงโทษโดยอัตโนมัติ เราถูกปลูกฝังให้เป็นคนขาว พูดเหมือนคนขาว แต่งตัวเหมือนคนขาว และประพฤติตนเหมือนคนขาว…ป้าลอเรนผู้รอดชีวิตจากการถูกพรากจากครอบครัวตั้งแต่เด็กกล่าว
"จนในที่สุดมันก็ซึมเข้าไปในหัวเราว่า การเป็นคนดำคือสิ่งที่ไม่ดี เราไม่สามารถแม้แต่จะพูดว่าเราเป็นชาวอะบอริจิน เด็กสี่ขวบถูกล้างสมองจนลืมทุกอย่างเกี่ยวกับชนชาติดั้งเดิม และเรียนรู้วิถีคนขาวแทน การลงโทษก็เลวร้ายมากในสถานที่เหล่านั้น”

ผู้รอดชีวิตจาก Stolen Generation ของออสเตรเลียขณะฟังอดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย เควิน รัดด์ กล่าวขอโทษชนพื้นเมือง สำหรับการปฏิบัติต่อพวกเขาในอดีต Credit: Getty Images/Pool
วันนี้เธอเป็นผู้ก่อตั้งโครงการเยียวยา Marumali สำหรับผู้ที่ผ่านประสบการณ์ถูกพรากโดยเฉพาะ
เธอกล่าวว่า หากไม่ได้รับการเยียวยา ความบอบช้ำจะส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น
“มันคือวงจรที่เลวร้าย ถ้าเราไม่ตัดมันให้ขาด มันจะดำเนินต่อไป ลองนึกถึงผู้รอดชีวิตที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ และไม่มีแนวทางในการช่วยเหลือลูกๆ ของพวกเขาเลย”
ความบอบช้ำข้ามรุ่นนี้เกิดจากการที่ลูกหลานเห็นพ่อแม่และปู่ย่าต้องเผชิญกับความเจ็บปวด โดยที่ไม่ได้รับคำอธิบายหรือถูกเยียวยา
แชนนอน ดอดสัน อธิบายถึงเรื่องนี้ว่า
“ผู้รอดชีวิตจำนวนมากไม่ได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น ไม่เคยได้รับการดูแลอย่างแท้จริง พวกเขาจึงเลี้ยงลูกลำบาก บางคนยอมรับว่าได้ส่งต่อบาดแผลเหล่านี้ให้กับลูกหลาน และนั่นคือเหตุผลที่เราเรียกมันว่า ‘ความบอบช้ำข้ามรุ่น’”

แชนนอน ดอดสัน ผู้อำนวยการของมูลนิธิ Healing Foundation
ปัจจุบัน หลายชุมชนกำลังทำงานเพื่อหยุดวงจรนี้ด้วยวิธีการเยียวยา
“การเยียวยาแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่สิ่งสำคัญคือผู้รอดชีวิตต้องมีสิทธิ์กำหนดวิธีเยียวยาของตัวเอง ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเป็นเจ้าของ การสร้างความสัมพันธ์ และการศึกษา”
การเยียวยายังหมายถึงการสร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน และการเรียกคืนอัตลักษณ์ด้วย
“การสร้างสายสัมพันธ์กับวัฒนธรรม แผ่นดินเกิด และภาษา เป็นหัวใจของการเยียวยา เพราะมันสร้างความรู้สึกว่าคุณมีที่ยืน มีรากฐาน มีชุมชนที่ยอมรับคุณ”

องค์ประกอบสำคัญของการเยียวยาคือการให้ความรู้ เพื่อให้ชาวออสเตรเลียเข้าใจความจริงเกี่ยวกับ Stolen Generations Credit: davidf/Getty Images
องค์กร Coota Girls Aboriginal Corporation ก่อตั้งโดยอดีตผู้พักอาศัยในสถานสงเคราะห์แห่งนั้น มีจุดมุ่งหมายในการสนับสนุนการเยียวยาของผู้รอดชีวิตและครอบครัว
ป้าลอเรนกล่าวว่า หากคุณถูกทำร้ายด้วยกัน คุณสามารถเยียวยาร่วมกันได้
“เมื่อเราอยู่ในวงสนทนา เรากำลังสร้างการเยียวยาร่วมกัน เพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการคือการมีอยู่ของกันและกัน พวกเขาพูด พวกเขาแบ่งปันเรื่องราว พวกเขาเยียวยากันด้วยคำพูด และตราบใดที่เรายังมารวมตัวกัน เราก็ไม่ถูกลืม”
อีกแนวทางหนึ่งคือการให้ความรู้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่เข้าใจถึงความอยุติธรรมในอดีต
“ฉันอยากให้คนที่ไม่ใช่ชนพื้นเมืองเปิดโอกาสให้ลูกหลานเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่แท้จริง และรื้อระบบเดิมที่เขียนนโยบายเหยียดเชื้อชาติ มันต้องถูกรื้อและเขียนขึ้นใหม่”
จุดเปลี่ยนเริ่มขึ้นในปี 2008 เมื่อเควิน รัดด์ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวคำขอโทษต่อคนรุ่นที่ถูกพราก ครอบครัวและลูกหลานของพวกเขา
หลังจากนั้นมีโครงการจำนวนมากเกิดขึ้น รวมถึงการก่อตั้ง Healing Foundation
“เรากำลังผลักดันให้มี ‘แผนเยียวยาแห่งชาติ (national healing package)’ เพื่อความยุติธรรมที่ผู้รอดชีวิตควรได้รับ ก่อนที่พวกเขาจะหมดอายุขัยไป”
ด้วยความเชื่อที่ว่า การเยียวยาที่แท้จริงต้องเกิดจากการที่ทุกคนรับฟัง และให้ผู้รอดชีวิตได้ทวงคืนเรื่องราวของตนเอง

ลีลลา เวงเบิร์ก ผู้รอดชีวิตจากยุค Stolen Generation ที่ถูกพรากจากรถของพ่อแม่ของเธอ เมื่ออายุได้ 6 เดือน กำลังถือเทียนในงานรำลึกวัน National Sorry Dayที่โรงพยาบาล Royal Prince Alfred Credit: Sergio Dionisio/Getty Images
Australia Explained เป็นพอดคาสต์ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตใหม่ในออสเตรเลีย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

1 ปีผ่านไปหลังการลงประชามติ Voice กระบวนการต่อไปจะเป็นอย่างไร