สืบเนื่องจากประเด็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
สมาชิกวุฒิสภาได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) และมาตรา 160 (4)(5) หรือไม่
15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำวินิจฉัยที่ระบุให้นางสาวแพทองธารยุติการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีผลทันที พร้อมกับครม. ที่พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ต้องอยู่รักษาการจนกว่าจะได้ผู้นำทางการเมืองคนใหม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ 1 กรกฎาคม 2568
โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “สมเด็จฮุน เซน ไม่ได้อยู่ในฐานะจะก่อตั้งนิติสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนายกฯ ก็ได้คุยกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย
การกระทำต้องอยู่ภายใต้การกระทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การเจรจาดังกล่าวเป็นการเจรจาเพื่อประเทศ ควรต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมด้วย”
นอกจากนี้ยังระบุว่าพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีมีการขอความเห็นใจจากฮุน เซน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบระมัดระวัง
ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ควรจะมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ยึดถือผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง
ทำให้เสียหายต่อเกียรติศักดิ์ และเกียรติภูมิของความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ
ในวันเดียวกัน นางสาวแพทองธารได้ออกแถลงการณ์ ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยได้ระบุว่าเธอขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ความตั้งใจอย่างแท้จริงที่ทำเพื่อประเทศ และไม่ได้ขออะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตน และน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันยึดมั่นเสมอคือชีวิตของพี่น้องประชาชน ทั้งทหารและพลเรือนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย
เธอกล่าวว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทางการเมืองอีกครั้ง
และขอร้องให้ทุกฝ่ายทางการเมืองร่วมสร้างเสถียรภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันอีก

ผู้ประท้วงชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใจกลางกรุงเทพฯ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลาออก Source: SIPA USA / TEERA NOISAKRAN/Teera Noisakran/Sipa USA/AAP Image
เปิดไทม์ไลน์นายกอุ๊งอิ๊ง
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีอายุการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งปีเท่านั้น โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงได้มติแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2024 และเข้าพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งในอีกสองวันต่อมา
ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีแพทองธารชุดแรกได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง อันประกอบไปด้วย 6 พรรคร่วมรัฐบาล และ 1 กลุ่มการเมือง
เมื่อวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 รัฐสภาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร แต่ก็ได้รับคะแนนเสียงให้ดำรงตำแหน่งต่อไป 319 ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง
23 เมษายน นางสาวแพทองธารได้เดินทางเยือนกัมพูชา และได้เข้าพบฮุน เซน เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างประเทศ
นางสาวแพทองธารยกหูโทรศัพท์หาฮุน เซน เพื่อเจรจาเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อลดแรงกดดันจากการปะทะ ณ บริเวณช่องบก บทสนทนาดังกล่าวถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน
ต่อคลิปเสียงสนทนาถูกนำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ในวันที่ 18 มิถุนายน โดยบทสนทนามีความยาวรวม 17 นาที
ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน สมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตรไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามนายกรัฐมนตรี
ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ต่อมานางสาวแพทองธาร ได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 4 สิงหาคม และปรากฏตัวตามนัดไต่สวนคดีในฐานะพยานบุคคลที่ศาลเรียกไต่สวน พร้อมกับพยานคดีอีกหนึ่งปาก คือ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม
สื่อไทยรายงานว่า นางสาวแพทองธารปฏิเสธคำร้องจากกลุ่มสว.ที่กล่าวหาว่าการกระทำของเธอก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมินายกรัฐมนตรี
และยืนยันว่าไม่มีข้อความในบทสนทนาที่จะนำผลประโยชน์ของประเทศชาติไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ และมีเจตนารักษาความสงบและขอเปิดด่านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
จึงใช้เทคนิคการเจรจาเพื่อตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงต่อฮุน เซน เพื่อนำไปสู่วิธีการเจรจายุติปัญหาระหว่างสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามเผยแพร่การไต่สวนคดีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม โดยให้เหตุผลว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงแห่งชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสู่สาธารณะ
ท้ายที่สุดนางสาวแพทองธารถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญ ณ วันที่ 29 สิงหาคม
อ่านเพิ่มเติม

สงครามชายแดนในกระแสสื่อ: จากแนวรบสู่สนามข่าว
การเมืองไทยยังคงไม่ไร้ทางตัน
หลังจากนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจยุบสภา และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจะยังคงรักษาการตำแหน่งเดิมไว้จนกว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และแต่งตั้งครม.ชุดใหม่
ในขณะนี้ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎรสามารถร่วมลงคะแนนเสียงให้เป็นผู้นำไทยคนต่อไป โดยได้รับการเสนอชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่มีสส.ในสภามากกว่าร้อยละ 5 หรือมากกว่า 25 เสียงขึ้นไป
บุคคลที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปมีทั้งหมด 5 คน จาก 4 พรรค ได้แก่
พรรคเพื่อไทย 142 เสียง - นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง - นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค
พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค
พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ
การลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับเสียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 247 เสียง จากทั้งหมด 492 เสียง
ส่วนพรรคประชาชนที่มีสมาชิกสส.มากที่สุดในสภา หรือ 143 เสียง ไม่มีแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีหลังจากที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ
และแคนดิเดทของพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหลังเป็นเวลาสิบปี ในเหตุการณ์ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนยืนยันว่าพรรคพร้อมลงคะแนนเสียงเลือกแคนดิเดทนายกให้พรรคที่ไม่สามารถรวมเสียงข้างมากได้
แต่พรรคประชาชนยืนยันไม่ร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ต้องเป็นรัฐบาลชั่วคราว และต้องมีการจัดตั้งการเลือกตั้งครั้งใหม่โดยเร็วที่สุด พร้อมทำประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ