ไม่รอด! ศาลรัฐธรรมนูญถอดแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมครม.ทั้งคณะ

เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยตัดสินถอดถอนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร สืบเนื่องจากปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฯ ฮุน เซน พร้อมยุติการดำรงตำแหน่งของคณะรัฐมนตรี รวมถึงบุคคลที่ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่แต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) จนกว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่

Suspended Thai Prime Minister Paetongtarn testifies about a phone call controversy

แพทองธาร ชินวัตร กล่าวทักทายประชาชน หลังจากเข้าให้การต่อศาลรัฐธรรมนูญในกรุงเทพฯ ประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Source: EPA / RUNGROJ YONGRIT/EPA/AAP Image

สืบเนื่องจากประเด็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และสมเด็จฯ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา

สมาชิกวุฒิสภาได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำของนายกรัฐมนตรีถือเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) และมาตรา 160 (4)(5) หรือไม่

15.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำวินิจฉัยที่ระบุให้นางสาวแพทองธารยุติการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีผลทันที พร้อมกับครม. ที่พ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่ต้องอยู่รักษาการจนกว่าจะได้ผู้นำทางการเมืองคนใหม่

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติว่า การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ คือ 1 กรกฎาคม 2568

โดยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “สมเด็จฮุน เซน ไม่ได้อยู่ในฐานะจะก่อตั้งนิติสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และนายกฯ ก็ได้คุยกับ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาด้วย

การกระทำต้องอยู่ภายใต้การกระทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ การเจรจาดังกล่าวเป็นการเจรจาเพื่อประเทศ ควรต้องมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมด้วย”

นอกจากนี้ยังระบุว่าพฤติกรรมของนายกรัฐมนตรีมีการขอความเห็นใจจากฮุน เซน จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยขาดความรอบคอบระมัดระวัง

ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ควรจะมีวิจารณญาณในการเลือกกระทำการโดยไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่ยึดถือผลประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง

ทำให้เสียหายต่อเกียรติศักดิ์ และเกียรติภูมิของความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ถือเอาประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ประเทศชาติ

ในวันเดียวกัน นางสาวแพทองธารได้ออกแถลงการณ์ ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยได้ระบุว่าเธอขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ความตั้งใจอย่างแท้จริงที่ทำเพื่อประเทศ และไม่ได้ขออะไรที่เป็นประโยชน์ส่วนตน และน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ดิฉันยึดมั่นเสมอคือชีวิตของพี่น้องประชาชน ทั้งทหารและพลเรือน
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย
เธอกล่าวว่าการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทางการเมืองอีกครั้ง

และขอร้องให้ทุกฝ่ายทางการเมืองร่วมสร้างเสถียรภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันอีก
Protest in Bangkok calling for Thai PM to resign. - 2 August 2025
ผู้ประท้วงชุมนุมกันที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ใจกลางกรุงเทพฯ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ลาออก Source: SIPA USA / TEERA NOISAKRAN/Teera Noisakran/Sipa USA/AAP Image

เปิดไทม์ไลน์นายกอุ๊งอิ๊ง

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร มีอายุการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงหนึ่งปีเท่านั้น โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงได้มติแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2024 และเข้าพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งในอีกสองวันต่อมา

ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2567 คณะรัฐมนตรีแพทองธารชุดแรกได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง อันประกอบไปด้วย 6 พรรคร่วมรัฐบาล และ 1 กลุ่มการเมือง

เมื่อวันที่ 24-26 มีนาคม 2568 รัฐสภาเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีแพทองธาร แต่ก็ได้รับคะแนนเสียงให้ดำรงตำแหน่งต่อไป 319 ต่อ 162 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง

23 เมษายน นางสาวแพทองธารได้เดินทางเยือนกัมพูชา และได้เข้าพบฮุน เซน เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างประเทศ

นางสาวแพทองธารยกหูโทรศัพท์หาฮุน เซน เพื่อเจรจาเปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อลดแรงกดดันจากการปะทะ ณ บริเวณช่องบก บทสนทนาดังกล่าวถูกบันทึกไว้เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน

ต่อคลิปเสียงสนทนาถูกนำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ในวันที่ 18 มิถุนายน โดยบทสนทนามีความยาวรวม 17 นาที
ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน สมาชิกวุฒิสภา 36 คน ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านางสาวแพทองธาร ชินวัตรไม่มีความสุจริตเป็นที่ประจักษ์ ขาดคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรี อันเป็นคุณสมบัติต้องห้ามนายกรัฐมนตรี

ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นางสาวแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ต่อมานางสาวแพทองธาร ได้ยื่นคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 4 สิงหาคม และปรากฏตัวตามนัดไต่สวนคดีในฐานะพยานบุคคลที่ศาลเรียกไต่สวน พร้อมกับพยานคดีอีกหนึ่งปาก คือ นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 สิงหาคม

สื่อไทยรายงานว่า นางสาวแพทองธารปฏิเสธคำร้องจากกลุ่มสว.ที่กล่าวหาว่าการกระทำของเธอก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมินายกรัฐมนตรี

และยืนยันว่าไม่มีข้อความในบทสนทนาที่จะนำผลประโยชน์ของประเทศชาติไปแลกเปลี่ยนกับต่างชาติ และมีเจตนารักษาความสงบและขอเปิดด่านบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

จึงใช้เทคนิคการเจรจาเพื่อตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริงต่อฮุน เซน เพื่อนำไปสู่วิธีการเจรจายุติปัญหาระหว่างสองประเทศ

อย่างไรก็ตาม ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งห้ามเผยแพร่การไต่สวนคดีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม โดยให้เหตุผลว่าคดีดังกล่าวเกี่ยวเนื่องกับความมั่นคงแห่งชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดสู่สาธารณะ

ท้ายที่สุดนางสาวแพทองธารถูกถอดถอนจากตำแหน่งโดยศาลรัฐธรรมนูญ ณ วันที่ 29 สิงหาคม

การเมืองไทยยังคงไม่ไร้ทางตัน

หลังจากนี้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีลำดับที่ 1 และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จะดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี มีอำนาจยุบสภา และคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจะยังคงรักษาการตำแหน่งเดิมไว้จนกว่าจะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และแต่งตั้งครม.ชุดใหม่

ในขณะนี้ แคนดิเดทนายกรัฐมนตรีที่สภาผู้แทนราษฎรสามารถร่วมลงคะแนนเสียงให้เป็นผู้นำไทยคนต่อไป โดยได้รับการเสนอชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองที่มีสส.ในสภามากกว่าร้อยละ 5 หรือมากกว่า 25 เสียงขึ้นไป

บุคคลที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปมีทั้งหมด 5 คน จาก 4 พรรค ได้แก่

พรรคเพื่อไทย 142 เสียง - นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี

พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง - นายอนุทิน ชาญวีรกูล สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรค

พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรค

พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ

การลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีจะต้องได้รับเสียงกึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 247 เสียง จากทั้งหมด 492 เสียง

ส่วนพรรคประชาชนที่มีสมาชิกสส.มากที่สุดในสภา หรือ 143 เสียง ไม่มีแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีหลังจากที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตสส.บัญชีรายชื่อ
และแคนดิเดทของพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหลังเป็นเวลาสิบปี ในเหตุการณ์ยุบพรรคก้าวไกลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2567

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนยืนยันว่าพรรคพร้อมลงคะแนนเสียงเลือกแคนดิเดทนายกให้พรรคที่ไม่สามารถรวมเสียงข้างมากได้

แต่พรรคประชาชนยืนยันไม่ร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขที่ว่ารัฐบาลชุดใหม่ต้องเป็นรัฐบาลชั่วคราว และต้องมีการจัดตั้งการเลือกตั้งครั้งใหม่โดยเร็วที่สุด พร้อมทำประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

แต่ถ้าหากรักษาการนายกรัฐมนตรีตัดสินใจยุบสภา จะต้องจัดเลือกตั้งครั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน และลงคะแนนเสียงเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต่อไป


Share

Published

Updated

By Atitaya Teepawat
Source: SBS

Share this with family and friends


Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand