มาตรการขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการแล้ว โดยมีการเรียกเก็บภาษี 50 เปอร์เซ็นต์สำหรับการนำเข้าทั้งสองชนนิด
รัฐมนตรีคลัง จิม ชาลเมอร์ส (Jim Chalmers) ระบุว่าภาษีเหล่านี้ 'เป็นอันตราย' ต่อเศรษฐกิจโลก และเตือนว่าออสเตรเลียจะต้องเผชิญกับผลกระทบเป็นลูกโซ่เช่นกัน
“เราไม่ต้องการเห็นการยกระดับของภาษีนำเข้า เพราะนั่นคือการทำร้ายเศรษฐกิจของตัวเอง และมันสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมาก และออสเตรเลียก็จะไม่ได้รอดพ้นจากผลกระทบนั้น” เขากล่าวกับสถานี ABC ในเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
แล้วภาษีเหล่านี้จะส่งผลอย่างไร และทำไมทรัมป์ถึงใช้มาตรการนี้?
ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นหรือไม่?
ทางด้านศาสตราจารย์ทิม ฮาร์คอร์ต (Tim Harcourt) หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีซิดนีย์ (UTS) กล่าวกับ SBS News ว่า ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษีเหล็กจะกระทบโรงงานทั่วสหรัฐฯ
“โรงงานในอเมริกาหลายแห่งใช้เหล็ก หากเหล็กมีราคาแพงขึ้น มันจะส่งผลเสียอย่างมากต่อหลายอุตสาหกรรม” เขากล่าว
“เหล็กและอะลูมิเนียมยังเป็นส่วนประกอบของสินค้าอื่น ๆ อีกมาก” เขากล่าวต่อ โดยอธิบายว่าโลหะเหล่านี้ใช้ในเครื่องจักรกลและสินค้ากระป๋องซึ่งออสเตรเลียนำเข้าจากสหรัฐฯ
บริษัทที่ผลิตสินค้าดังกล่าวจะมีแนวโน้มส่งต่อต้นทุนที่สูงขึ้นให้กับผู้บริโภคในจุดขาย
โดยฮาร์คอร์ตกล่าวว่าโรงถลุงเหล็ก North Star ซึ่งเป็นของบริษัท BlueScope Steel บริษัทสัญชาติออสเตรเลียและตั้งอยู่ในสหรัฐฯ น่าจะเป็นผู้ที่ “ได้ประโยชน์” จากภาษีดังกล่าว
นอกจากนี้ เขายังกล่าวว่า ผลกระทบในทางลบจากภาษีชุดใหม่นี้ต่อชาวออสเตรเลียนั้น “ค่อนข้างน้อย” เพราะเศรษฐกิจในประเทศแข็งแกร่ง
“อุตสาหกรรมเหล็กของเราแข่งขันได้สูง และพวกเขาเปิดตลาดในเอเชียแล้ว ซึ่งหมายความว่าเราพึ่งพาสหราชอาณาจักรหรือสหรัฐฯ น้อยลง” เขากล่าว
แม้จะมีการขึ้นราคาสินค้ากระป๋องบางรายการในซูเปอร์มาร์เก็ต ฮาร์คอร์ตกล่าวว่า สิ่งที่น่าจับตามองมากกว่าคือ "การปรับตัวของผู้ผลิตเหล็กชาวออสเตรเลีย"
แล้วเหล็กของออสเตรเลียล่ะ?
ชาลเมอร์สกล่าวว่า ออสเตรเลีย “อยู่ในสถานะที่ดีกว่าหลายประเทศ” ในการรับมือกับผลกระทบจากภาษี แต่ก็ยอมรับว่าอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศอาจต้องเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก
“ภาษีเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตเหล็กของเรา” เขากล่าว
“แต่ผู้ส่งออกของเราอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดในโลก เราเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะสามารถหาตลาดที่ดีและเชื่อถือได้สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมคุณภาพเยี่ยมจากออสเตรเลียได้แน่นอน”
ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมของออสเตรเลียมีจุดหมายปลายทางคือสหรัฐฯ
โดยฮาร์คอร์ตกล่าวว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือคือ “เป้าหมายชัดเจน” ที่ผู้ส่งออกออสเตรเลียควรมองหาโอกาสใหม่ ๆ รวมถึงประเทศอินเดียด้วย
หากทำการค้ากับประเทศที่ไม่เรียกเก็บภาษีนำเข้า 50 เปอร์เซ็นต์กับเหล็กและอะลูมิเนียม ผู้ส่งออกก็จะสามารถขายสินค้าได้มากขึ้นและเพิ่มกำไรได้
“อาจมีต้นทุนหรือความลำบากในการปรับตัวในระยะสั้น แต่โดยรวมแล้ว ออสเตรเลียเป็นผู้ส่งออกเหล็ก แร่เหล็ก และอะลูมิเนียมที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นเราจะยังคงไปได้ดี กับพันธมิตรในเอเชียและแปซิฟิก” เขากล่าวเสริม
ทำไมทรัมป์ถึงใช้มาตรการภาษีกับเหล็กและอะลูมิเนียม?
ทรัมป์ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กจากต่างประเทศจาก 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยให้เหตุผลว่าเพื่อ “ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ”
“อุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของเรากำลังฟื้นคืนกลับมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน” เขากล่าวผ่านโพสต์บน Truth Social
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 25 เปอร์เซ็นต์แบบไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ
โดยทำเนียบขาวระบุว่าสหราชอาณาจักรจะได้รับการยกเว้นชั่วคราวจากคำสั่งบริหารที่เพิ่มภาษีเป็นสองเท่า
ตามข้อมูลจากรัฐบาลสหรัฐฯ มาตรการเหล่านี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ เพิ่มปริมาณการผลิตในประเทศ และลดการพึ่งพาวัสดุที่จำเป็นต่อการป้องกันประเทศจากต่างชาติ
ฮาร์คอร์ตกล่าวว่า เขาเชื่อว่าผู้นำโลกกำลังใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือทางอำนาจ โดยยกตัวอย่างการที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน เคยตัดสินใจการเรียกเก็บภาษีกับไวน์และธัญพืชของออสเตรเลียเมื่อไม่กี่ปีก่อน
มาตรการภาษีของจีนนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่ออสเตรเลียสนับสนุนการสอบสวนต้นตอของโควิด-19 รวมถึงความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ย่ำแย่ลงโดยรวม
“ผมคิดว่าจีนเป็นฝ่ายเริ่มสงครามการค้า และเป็นผู้ให้ไอเดียกับโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าคุณสามารถขึ้นภาษีด้วยเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ได้”
“ปกติแล้ว ภาษีไม่ใช่สิ่งที่ขึ้นง่าย ๆ และโดยทั่วไปจะถูกขับเคลื่อนด้วยการค้าเป็นหลัก”
“แต่ตั้งแต่สี จิ้นผิง และจีนทำแบบนั้นกับออสเตรเลีย ตอนนี้หลายประเทศก็เริ่มใช้ภาษีเป็นเครื่องมือในหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอพยพ เสรีภาพในการพูด หรือแม้แต่การป้องกันประเทศ”