ย้อนกลับไปในปี 2023 เอมี (นามสมมติ) นักเรียนต่างชาติ คิดว่าเธอได้งานที่มั่นคงในเมืองดาร์วิน
เธออายุ 30 ปี ในตอนนั้นที่เธอได้รับการว่าจ้างให้เป็นเจ้าหน้าที่บริการนักเรียนที่ International House Sydney ซึ่งเป็นสถาบันอาชีวศึกษาที่เธอกำลังเรียนหลักสูตรอนุปริญญาชั้นสูงด้านการบริหารโครงการหรือ Program Management
ต่างจากงานรับเงินสดรายวันแบบไม่เป็นทางการที่นักเรียนต่างชาติหรือผู้อพยพใหม่จำนวนมากอาจจำเป็นต้องทำ เมื่อย้ายมาอยู่อาศัยในช่วงแรก ซึ่งเอมีรู้สึกว่านี่เป็นงานที่มั่นคงกว่า
"มันเป็นงานพาร์ตไทม์แบบถาวร เพราะฉันถือวีซ่านักเรียน ฉันทำงานได้แค่พาร์ตไทม์ แต่สัญญาจ้างงานเป็นแบบถาวร"
แต่ในเดือนมกราคม 2025 บริษัทก็ล้มละลาย
เพื่อนร่วมงานชาวออสเตรเลียของเอมีสามารถเข้าถึงโครงการ Fair Entitlements Guarantee (หรือ FEG) ของรัฐบาลกลางออสเตรเลีย ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ลูกจ้างสามารถเรียกร้องค่าจ้าง ค่าชดเชยการเลิกจ้าง และสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้หลังจากบริษัทปิดกิจการ
แต่เนื่องจากเอมีเป็นนักเรียนต่างชาติ เธอจึงไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้ จนถึงวันนี้ เธอยังไม่ได้รับค่าจ้างหรือสิทธิประโยชน์บางส่วนหลังจากบริษัทปิดตัวลง
"ฉันเคยคิดว่าสัญญาถาวรจะให้ความคุ้มครองมากกว่า แต่เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น ฉันก็ได้รู้ว่า ฉันไม่มีสิทธิ์เท่ากับคนออสเตรเลียหรือผู้พำนักถาวรได้เลย ฉันเข้าถึงระบบความคุ้มครองแบบเดียวกันไม่ได้เลย"
ตามรายงานจาก PKF Melbourne ซึ่งเป็นผู้ทำบัญชีการล้มละลายของ International House Sydney ระบุว่า สถาบันเริ่มขาดทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 เป็นอย่างน้อย
โดยตอนที่เข้าสู่กระบวนการล้มละลาย สถาบันมีนักเรียนประมาณ 3,800 คน และพนักงาน 318 คน
เอมีเล่าว่า ทางผู้จัดการการล้มละลายได้มีการแจ้งว่า หากมีเงินเหลือจากการชำระบัญชี พนักงานที่ไม่สามารถเข้าถึง FEG จะได้รับการชำระเงินคืนเป็นลำดับแรก
ทาง SBS News ได้สอบถามไปยัง PKF Melbourne เกี่ยวกับการชำระเงินคืนให้กับพนักงานที่เป็นผู้อพยพ แต่ไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนในประเด็นนี้
นี่คือปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ให้บริการการศึกษาเอกชนขนาดเล็กและขนาดกลางหลายแห่ง หลังจากรัฐบาลกลางเริ่มจำกัดการรับนักเรียนต่างชาติในปีที่แล้ว
เฟลิกซ์ ไพรี (Felix Pirie) ประธานบริหารของสภาการศึกษาระดับอุดมศึกษาแบบอิสระแห่งออสเตรเลีย (ITECA) กล่าวว่า
"ราพบว่ามีจำนวนนักเรียนที่ยื่นใบสมัครหรือตัดสินใจมาศึกษาต่อในออสเตรเลียลดลงอย่างมาก ทั้งในหลักสูตรฝึกอบรมสายวิชาชีพและหลักสูตรการเรียนภาษาอังกฤษ"
จากรายงานของ ITECA ปี 2021 มีนักเรียนประมาณ 162,000 คนลงทะเบียนเรียนกับผู้ให้บริการการศึกษาเอกชนในระดับอุดมศึกษา โดยมากกว่าครึ่งเป็นนักเรียนต่างชาติ
ไพรีกล่าวว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมขอวีซ่าและการชะลอขั้นตอนการอนุมัติวีซ่าส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคส่วนนี้
"ผลลัพธ์ก็คือ ผู้ให้บริการอิสระคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด และแน่นอนว่ากระทบกับคนที่พวกเขาจ้างงานด้วย เพราะเมื่อธุรกิจเริ่มประสบปัญหา คนเหล่านั้นก็ต้องตกงาน"
โดยหากนักเรียนต่างชาติพบว่าสถาบันที่ตนเรียนอยู่กำลังล้มละลาย พวกเขามีสิทธิ์เข้าถึง บริการคุ้มครองค่าเรียน (Tuition Protection Service) ของรัฐบาล
บริการนี้ช่วยให้นักเรียนหาหลักสูตรทดแทน หรือขอเงินคืนเต็มจำนวนจากสถาบันเดิมได้
แมตต์ คุนเคล (Matt Kunkel) ประธานบริหารศูนย์แรงงานผู้อพยพแห่งรัฐวิกตอเรีย กล่าวว่ามีผู้ถือวีซ่านักเรียนต่างชาติจำนวนมากได้รับการจ้างงานในภาคส่วนนี้
"อีกผลกระทบหนึ่งคือ หลายคนที่จบการศึกษาแล้ว ก็เข้าทำงานในภาคการศึกษา โดยเฉพาะในภาคการศึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติ คนเหล่านี้มาที่นี่เพื่อสร้างชีวิต และข้อจำกัดด้านจำนวนนักเรียนต่างชาติ กำลังสร้างแรงกดดันต่อการจ้างงานในภาคส่วนนี้"
ในปี 2019 รัฐบาลผสมชุดก่อน (Coalition) ได้เผยแพร่รายงานฉบับสุดท้ายของ คณะทำงานด้านแรงงานผู้อพยพ ซึ่งเสนอแนะให้ขยายสิทธิ์เข้าถึง FEG ไปยังแรงงานผู้อพยพทุกคน
โดยคณะทำงานชุดนี้จัดตั้งขึ้นในปี 2016 เพื่อต่อสู้กับการเอาเปรียบแรงงานผู้อพยพ แต่ตั้งแต่มีรายงานในปี 2019 จนถึงขณะนี้ ยังไม่มีการขยายสิทธิ์ FEG แต่อย่างใด
ในปี 2025 รัฐบาลพรรคแรงงานภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแอนโธนี อัลบานีซี ได้เริ่มกระบวนการรับฟังความคิดเห็นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูป FEG หลังพบว่าบางบริษัทใช้ระบบนี้ในทางที่ผิด
คุนเคลกล่าวว่า รัฐบาลควรอนุญาตให้นักเรียนต่างชาติและแรงงานผู้อพยพสามารถเข้าถึง FEG ได้โดยเร็วที่สุด
"ระบบวีซ่าของเราถูกสร้างขึ้นโดยมีแนวคิดว่านักเรียนต่างชาติมาที่นี่เพื่อเรียน แต่ในความเป็นจริง คือนักเรียนเหล่านี้จำนวนมากทั้งเรียนและทำงานในออสเตรเลีย เราจำเป็นต้องมีระบบวีซ่าที่อนุญาตให้แรงงานเหล่านี้ ใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีระหว่างที่เรียนและรับการศึกษาไปด้วย"
เซรี เฟลด์แมน-กุบบาย (Seri Feldman-Gubbay) ทนายอาวุโสจาก Redfern Legal Centre เห็นด้วยว่ามีช่องว่างระหว่างความคุ้มครองของแรงงานในประเทศกับนักเรียนต่างชาติ
She also agrees that there's a gap between the safety net for local workers and international students.
"ฉันคิดว่าสิ่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ธุรกิจออสเตรเลียจำนวนมาก อาศัยข้อเท็จจริงที่ว่านักเรียนต่างชาติไม่คุ้นเคยกับระบบกฎหมายและกฎระเบียบในประเทศนี้ มันสร้างความมั่นใจแบบผิด ๆ ว่านายจ้างจะปฏิบัติต่อฉันอย่างเป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง นายจ้างจำนวนไม่น้อยฉวยโอกาสจากความไม่รู้เหล่านี้ และปล่อยให้คนเหล่านั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มาก"
และเมื่อไม่มีโครงการ FEG เฟลด์แมน-กุบบายกล่าวว่า สำหรับพนักงานอย่างเอมี การฟ้องร้องต่อศาลเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง
โดยทางเอมีกล่าวว่าเธอเองอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้น
"ฉันไม่คิดว่าฉันจะได้รับเงินชดเชยหรอกค่ะ เพราะฉันสงสัยว่าพวกเขาจะมีเงินเหลือให้ใช้ไหม แต่ฉันหวังอย่างยิ่งว่าในอนาคตจะไม่มีใครต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อีก หรืออย่างน้อยก็ให้เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้คนพูดถึงกันมากขึ้น ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยจนกระทั่งมันเกิดขึ้นกับฉัน ฉันคิดว่าผู้อพยพทุกคนควรรู้ว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับพวกเขาได้"