มาร์ก เบิร์นส์ คุณพ่อลูกสอง กำลังอยู่ในช่วงชีวิตที่รู้สึกตัน ๆ ไปต่อไม่ถูก
เหมือนกับคนออสเตรเลียจำนวนมาก เขามักจะผ่อนคลายหลังจากเหนื่อยทั้งวันจากงานและหน้าที่ครอบครัว ด้วยการ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และดูทีวี
แต่ไม่นาน เขาเริ่มสังเกตว่าตัวเอง กำลังสร้างนิสัยที่ไม่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขาเล่าว่า
"ผมโหมชีวิตตัวเองจนเกินกำลัง เหมือนเร่งทั้งวันทั้งคืน ไม่มีเวลาให้ตัวเองหายใจเลยครับ”“ มาร์กเล่า
“พอถึงราว ๆ ห้าทุ่มของคืนวันอังคาร ทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ทั้งงาน ทั้งเรื่องลูก ผมก็บอกตัวเองว่า “ฉันสมควรได้พัก” แล้วก็รินไวน์แดงหนึ่งแก้ว นั่งดู Netflix ยาวไปจนตีหนึ่ง แล้วก็นอนแค่ห้าชั่วโมง ก่อนจะตื่นมาทำแบบเดิมซ้ำทุกวัน
มันไม่เหมือนผมไปทำร้ายใครนะ นั่นคือสิ่งที่ผมหลอกตัวเองอยู่ จริง ๆ แล้ว คนที่ผมกำลังทำร้ายก็คือตัวผมเอง”
ไม่นานหลังจากนั้น ด้วยแรงสนับสนุนจากคนรอบข้าง มาร์กตัดสินใจว่าจะ “เปลี่ยนแปลงตัวเอง” อย่างจริงจัง
“ผมเริ่มออกเดินตอนเช้า เพราะเบค ภรรยาของผมแนะนำว่า ลองเริ่มต้นวันให้มันดีขึ้นกว่านี้ดูไหม” มาร์กเล่า
อ่านเพิ่มเติม

ผู้ชายไม่ควรมองข้ามเรื่องสุขภาพจิต
จากกิจวัตรการเดินเล่นยามเช้าของเขาเพียงคนเดียว อยู่ๆ ก็กลายเป็น การเคลื่อนไหวระดับประเทศของผู้ชายที่อยากเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตและต้องการการเชื่อมต่อทางสังคม ภายใต้ชื่อกลุ่ม The Man Walk
ตลอดระยะเวลา 7 ปีนับตั้งแต่เริ่มต้น กลุ่ม The Man Walk มีการประเมินว่ามีผู้ชายประมาณ 136,656 คน ใน 83 พื้นที่ทั่วออสเตรเลีย ที่ออกมาเดินและพูดคุยกัน เพื่อจัดระเบียบชีวิตใหม่ และลดความโดดเดี่ยวในแต่ละวัน
“เรื่องราวที่ผู้ชายแต่ละคนเล่ากันมันน่าทึ่งมากครับ” มาร์กกล่าว
“บางคนบอกกับผมว่า ‘มาร์ก ผมไม่ได้มีเพื่อนผู้ชายให้คุยด้วยจริง ๆ มานาน 30 ปีแล้ว’
ในขณะที่บางคนพูดว่า ‘The Man Walk ช่วยชีวิตผมไว้ ผมลดน้ำหนักไป 20 กิโล เพราะออกมาเดินทุกสัปดาห์...’”
เขาเล่าว่า นอกเหนือจากการนัดเดินในกลุ่ม “The Man Walk” แล้ว ผู้ชายเหล่านี้ยัง เริ่มนัดพบกันเองภายนอกกลุ่ม โทรหากัน พูดคุย และสร้างมิตรภาพขึ้นใหม่อีกครั้ง
“เรากำลังช่วยลดความโดดเดี่ยวและความรู้สึกไร้ตัวตนของผู้ชายด้วยวิธีที่เรียบง่ายที่สุด เดินและได้พูดคุยกับใครสักคน” มาร์กกล่าว “นี่ไม่ใช่แค่กิจกรรม แต่เป็น ‘เกราะป้องกันความโดดเดี่ยว’ ในระดับสุขภาพจิตอย่างแท้จริง”
มาร์ก เบิร์นส์เล่าว่า กลุ่มนี้เริ่มต้นจากผู้ชายเพียงไม่กี่คนในชุมชนเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของซิดนีย์ในเมืองไคอามา ก่อนจะค่อย ๆ ขยายตัวอย่างไม่ตั้งใจ และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
แม้เขาจะได้ประโยชน์ทั้งด้านสุขภาพและมิตรภาพจากการเดินสม่ำเสมอกับเพื่อน ๆ แต่มาร์กยอมรับว่า เหตุผลที่เขายังคงทำต่อ ไม่ได้มีแค่เรื่องสุขภาพเท่านั้น แต่ยังมี เหตุผลส่วนตัวที่ลึกกว่านั้น อยู่เบื้องหลัง
“แรงขับเคลื่อนส่วนตัวของผม” มาร์กเล่าว่า
“คือการทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมพูดกับตัวเองแบบนั้นเสมอ แม้ทั้งสองท่านจะจากไปหลายปีก่อนแล้ว พ่อเสียจากอุบัติเหตุรถชน และแม่จากโรคมะเร็ง นั่นคือสิ่งที่ผลักดันผมอยู่ลึก ๆ”
งานวิจัยล่าสุดชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมหรือโปรแกรมทางสังคติสำหรับผู้ชาย มีบทบาทสำคัญในการช่วยรับมือกับ ความเหงาและปัญหาสุขภาพจิต
ผลสำรวจชายชาวออสเตรเลียจำนวน 2,000 คนพบว่า ผู้ชาย 1 ใน 2 ในช่วงอายุ 35–50 ปี รู้สึกว่า ความเครียดหรือความวิตกกังวลส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
ประมาณ 31% ระบุว่า ภาระทางจิตใจ (mental load) เริ่มกระทบกับ ประสิทธิภาพการทำงาน
ขณะเดียวกัน ผู้ชายที่อยู่ในพื้นที่ภูมิภาคหรือชนบท 1 ใน 3 รู้สึก โดดเดี่ยวจากการอยู่ห่างไกลสังคม
งานวิจัยนี้จัดทำโดยองค์กร Mentoring Men ซึ่งทำงานผ่านระบบ “จับคู่” ระหว่างผู้ชายที่ต้องการพูดคุย (mentee) กับ “พี่เลี้ยง” หรือ mentor ชายที่มีอายุมากกว่า เพื่อให้การสนับสนุนและพูดคุยแบบไม่เป็นทางการ โดย ไม่มีค่าใช้จ่าย
ฟิลิเป กามา เอ ซิลวา (Filipe Gama e Silva) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขององค์กร ระบุว่า
มีงานวิจัยจำนวนมากที่สะท้อนภาพชัดเจนถึงปัญหาสุขภาพจิตในผู้ชาย
“ตอนนี้ออสเตรเลียกำลังอยู่ในภาวะวิกฤตความโดดเดี่ยว” ฟิลิเป กามา เอ ซิลวา กล่าว
“ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากงานวิจัยของเราเอง หรือจากงานวิจัยอิสระอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ล้วนสะท้อนผลกระทบรุนแรงที่ตามมาจากความเหงา”
เขาอธิบายว่า ผู้ชายที่รู้สึกโดดเดี่ยว มีความเสี่ยงที่จะทำร้ายตัวเองหรือจบชีวิตมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า
“นั่นหมายถึง ชีวิตที่สูญเสียไปจริง ๆ ครอบครัวที่พังทลาย ผลกระทบมันรุนแรงกว่าที่หลายคนคิดมาก”
จากประสบการณ์ขององค์กร Mentoring Men ประเด็นที่ผู้ชายส่วนใหญ่เข้ามาพูดคุยกับ mentor มากที่สุดคือเรื่อง “ความสัมพันธ์” ไม่ว่าจะเป็น คู่รัก คู่สมรส หรือความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
นอกจากนี้ ยังพบว่า ความกังวลต่ออนาคต เป็นหัวข้อที่พบมากใน กลุ่มผู้ชายช่วงวัยกลาง 30 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องงาน รายได้ และครอบครัวพร้อมกัน
เกือบ 40% ของบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่าง mentor กับผู้เข้าร่วมโปรแกรม ล้วนเกี่ยวข้องกับ ‘ความสัมพันธ์ฟิลิเปอธิบาย
“หลายคนพูดถึงปัญหาที่บ้าน ทั้งเรื่องคู่รัก เรื่องลูก หรือความตึงเครียดในครอบครัว”
นอกจากนั้น ยังมีบทสนทนาเรื่อง ความกังวลต่ออนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ชายช่วง อายุประมาณกลาง 30 ปี ซึ่งถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต
“ช่วงวัยนี้คือจุดที่ชีวิตเริ่ม ‘จริงจัง’ มากขึ้น คุณมีลูก มีคู่ชีวิต มีบ้าน มีภาระจ่ายหนี้ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ทุกอย่างประดังเข้ามาพร้อมกัน และต้อง ‘จัดการ’ ให้ได้”
จากการเก็บข้อมูลของ Mentoring Men พบว่า 42% ของผู้ชายพยายาม “ฝืนด้วยตัวเอง” เมื่อเผชิญกับปัญหาส่วนตัว โดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร
อ่านเพิ่มเติม
ถกปัญหาสุขภาพจิตของ “คนไทยไกลบ้าน”
ด้าน รองศาสตราจารย์ มิเชล ลิม (Michelle Lim) จากคณะสาธารณสุข มหาวิทยาลัยซิดนีย์ เสริมว่า ความโดดเดี่ยว ไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพจิต เท่านั้น
เธอย้ำว่า ความโดดเดี่ยว คือปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพระดับเดียวกับโรคร้ายแรง และควรถูกมองอย่างจริงจังเช่นเดียวกับโรคเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแล
“รองศาสตราจารย์มิเชล ลิม ระบุว่า ความโดดเดี่ยวและการขาดปฏิสัมพันธ์ทางสังคมไม่ใช่แค่ปัญหาสุขภาพจิต แต่เป็นประเด็นความเหลื่อมล้ำทางสังคม (Equity Issue)
เพราะ ผู้ที่มีรายได้น้อย หรืออาศัยอยู่ในชุมชนที่มีทรัพยากรจำกัด จะได้รับผลกระทบจากความโดดเดี่ยวมากกว่าคนทั่วไป
แม้แต่คนที่มีรายได้ดี หากรู้สึกว่าต้อง “รับผิดชอบมากเกินไป” หรืออยู่ท่ามกลางวิกฤตค่าครองชีพ ก็อาจรู้สึกโดดเดี่ยวและแบกรับปัญหาแบบเงียบ ๆ เช่นกัน”
เธอกล่าวเสริมว่า ออสเตรเลียต้องสูญเสียงบประมาณกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ต่อปี จากปัญหาความโดดเดี่ยวและการที่ประชาชน “ไม่กล้าเข้ารับบริการสุขภาพ” ซึ่งทำให้คนจำนวนมากปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนยากจะแก้ไข รองศาสตราจารย์มิเชล ลิม ระบุว่า
2.7 พันล้านดอลลาร์ต่อปีที่ออสเตรเลียต้องสูญเสียจากปัญหาความโดดเดี่ยวนั้น เป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าความจริง เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงมีมากกว่านั้นรองศาสตราจารย์ มิเชล ลิม
เช่น ผู้ที่รู้สึกโดดเดี่ยวมัก ป่วยนานกว่า และฟื้นตัวช้ากว่า เข้าพบแพทย์บ่อยขึ้น หรือ ต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นค่าใช้จ่ายที่สังคมต้องแบกรับ”
“เราจ่ายต้นทุนนี้อยู่แล้วทุกปี เพราะผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว แต่สิ่งที่เรายังไม่มี คือ ‘วิธีการแก้ปัญหา’ ที่เป็นระบบและได้ผลจริง” รองศาสตราจารย์มิเชล ลิม ชี้
ข้อมูลจากวิทยาลัยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปแห่งออสเตรเลีย (Royal Australian College of GPs) ยังพบอีกว่า
คนออสเตรเลีย 1 ใน 5 ที่อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป เคยเลื่อนหรือหลีกเลี่ยงการดูแลด้านสุขภาพจิต เพราะ “ค่ารักษาแพงเกินไป”
ในออสเตรเลียผู้ชายในชุมชนไทยสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพจิตฟรีหรือราคาไม่แพงได้
GP (แพทย์จีพี) ซึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการรับคำปรึกษาและแนะนำต่อไปหานักจิตวิทยา
บริการนักจิตวิทยาในมหาวิทยาลัย สำหรับนักเรียนหรือนักศึกษา มักมีบริการให้ฟรี