คนรุ่นใหม่เป็นกลุ่มที่มีมักมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากที่สุด โดยเฉพาะผ่านการสื่อสารทางดิจิทัล
อย่างไรก็ตาม รายงานฉบับใหม่ชี้ว่า คนหนุ่มสาวชาวออสเตรเลียจำนวนมากขึ้นกำลังเผชิญกับความเหงาอย่างต่อเนื่องและถาวร
ดร.มิเชล ลิม รองศาสตราจารย์และประธานฝ่ายวิทยาศาสตร์แห่งองค์กร Ending Loneliness Together (ยุติความเหงาร่วมกัน) ซึ่งเป็นผู้จัดทำรายงานฉบับนี้ ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส เคอร์ดิชว่า ปัจจุบันมีเยาวชนชาวออสเตรเลียหนึ่งในเจ็ดคนที่ประสบกับความเหงาอย่างต่อเนื่อง
โดยรวมแล้ว ร้อยละ 43 ของกลุ่มคนอายุระหว่าง 15 - 25 ปี เผชิญกับความรู้สึกเหงา
เธอกล่าวว่า แม้ความเหงาจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการการเชื่อมโยงกับผู้อื่น แต่สิ่งที่น่ากังวลคือความเหงาในระดับที่ต่อเนื่องและยืดเยื้อ
“สิ่งที่ทำให้ฉันกังวลคือ เยาวชนหนึ่งในเจ็ดคนเผชิญความเหงาแบบต่อเนื่อง และเมื่อฉันพูดว่า 'ต่อเนื่อง' หมายความว่า เราถามพวกเขาในปีหนึ่งและกลับไปถามอีกครั้งในปีถัดไป พวกเขายังคงบอกว่ารู้สึกเหงา สิ่งนั้นบอกว่า เมื่อพวกเขาเริ่มเหงาแล้ว พวกเขาก็ยังคงเหงาอยู่”
รายงานที่มีชื่อว่า A Call for Connection (เสียงเรียกร้องต่อสายใยสัมพันธ์) เผยแพร่ในช่วงสัปดาห์สร้างความตระหนักเรื่องความเหงา (Loneliness Awareness Week) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 4–10 สิงหาคมที่ผ่านมา
งานวิจัยนี้อ้างอิงข้อมูลจากการสำรวจรายได้ครัวเรือนและพลวัตของแรงงานในออสเตรเลีย (HILDA) รวมถึงการสัมภาษณ์เยาวชน ซึ่งพบว่าเยาวชนที่มีความเหงาอย่างต่อเนื่อง มีแนวโน้มจะประสบกับความเครียดทางจิตในระดับสูงถึงสูงมากมากกว่าผู้ที่ไม่เหงาถึงเจ็ดเท่า
ดร.ลิมระบุว่า มีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมบางประการที่ทำให้ความรู้สึกเหงารุนแรงขึ้น
“เราได้ศึกษาผู้ที่รู้สึกเหงาและยังคงเหงาอยู่ เราพบว่าบางสิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง เช่น หากสุขภาพกายหรือสุขภาพจิตไม่ดี หากตกงาน หรือมีปัญหาการเงิน สิ่งเหล่านี้ทำให้คนไม่เพียงแค่เหงา แต่ยังเหงาต่อไปเรื่อยๆ ด้วย”
ด้านดร.แคธี เคเซลแมน ประธานมูลนิธิ Blue Knot ซึ่งให้การสนับสนุนผู้ที่เคยเผชิญกับบาดแผลทางใจในวัยเด็กกล่าวว่า
กลุ่มที่เคยผ่านประสบการณ์รุนแรง เช่น เคยเป็นเหยื่อของความรุนแรง เคยถูกทอดทิ้ง หรือถูกแสวงหาประโยชน์ อาจมีแนวโน้มที่จะรู้สึกเหงาอย่างต่อเนื่องมากเป็นพิเศษ
“เมื่อความเหงากัดกร่อน มันสามารถส่งผลต่อสุขภาพจิตของเราอย่างรุนแรง เราอาจตกอยู่ในวังวนของความคิดของตนเอง ครุ่นคิดซ้ำไปมา ซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างมาก ยิ่งเราถอนตัวออกจากสังคม ก็ยิ่งไม่ได้รับรู้จากสภาวะภายนอก และสุดท้าย สุขภาพจิตก็จะส่งผลต่อสุขภาพกายเช่นกัน”

ความเหงาอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังได้ Source: Getty / Getty Images
ดร.ลิมระบุว่า ธีมดังกล่าวสอดคล้องกับข้อเสนอของ Ending Loneliness Together ที่ต้องการเห็นพื้นที่ชุมชนที่เปิดกว้างและเป็นมิตรต่อทุกคน รวมถึงกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์โดยไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง
เรากำลังอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้เรารู้สึกเหงา ดังนั้นเราไม่ควรโยนภาระทั้งหมดให้กับตัวบุคคล แต่ควรมองไปถึงโครงสร้างของชุมชน เศรษฐกิจ และสังคมที่ส่งผลต่อความเหงาด้วย เราจึงเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ เพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีทางสังคมดร.ลิมกล่าว
แนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากรายงานการไต่สวนเรื่องความเหงา (Loneliness Inquiry) ที่เพิ่งถูกเสนอเข้าสู่รัฐสภารัฐนิวเซาท์เวลส์เมื่อไม่นานมานี้
จากการสอบสวนตลอดหนึ่งปีเกี่ยวกับสาเหตุและผลกระทบของความเหงา คณะกรรมาธิการด้านประเด็นทางสังคมของรัฐ (Standing Committee on Social Issues) เสนอข้อแนะนำ 20 ข้อเพื่อจัดการกับวิกฤตนี้
ลอเรน สเตรซีย์ ผู้อำนวยการ Youth Action New South Wales เสนอให้มีศูนย์เยาวชนโดยเฉพาะ
“สิ่งที่เราได้ยินจากเยาวชนคือ พวกเขาต้องการพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง เพื่อให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงและความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน หนึ่งในข้อเสนอคือให้ลงทุนในศูนย์เยาวชน อาจเป็นพื้นที่แบบดั้งเดิม หรือพื้นที่ที่ปรับใช้จากอาคารในชุมชนที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น ศูนย์ชุมชน หรือห้องว่าง สิ่งสำคัญคือต้องเป็นสถานที่ที่เยาวชนสามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนได้”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

ผลสำรวจพบคนหนุ่มสาวเป็นกลุ่มคนที่เหงามากที่สุดในออสเตรเลีย
สเตรซีย์แนะนำว่า การลงทุนในพื้นที่ที่ปลอดภัยและเปิดกว้างสำหรับเยาวชน โดยให้เยาวชนมีส่วนร่วมออกแบบ นับเป็นเรื่องด่วน โดยเฉพาะขณะนี้ ที่ออสเตรเลียกำลังจะมีการแบนโซเชียลมีเดียสำหรับผู้มีอายุต่ำกว่า 16 ปีทั่วประเทศในเดือนธันวาคมปีนี้
“แนวคิดของศูนย์เยาวชนหรือพื้นที่ใหม่ ๆ คือการชดเชยช่องทางการเชื่อมต่อที่เรากำลังจะตัดออก เราไม่สามารถตัดพื้นที่ดิจิทัลออกไปโดยไม่สร้างพื้นที่จริงมาแทนที่ได้ และศูนย์เยาวชนคือคำตอบของเรื่องนี้ สิ่งนี้สามารถเป็นสะพานเชื่อมจากความเหงาสู่ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมสำหรับเยาวชน”
เธอเน้นว่า การแก้ปัญหาความเหงาในกลุ่มเยาวชนต้องเริ่มต้นจากการสร้างพื้นที่ที่พวกเขารู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า
“ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งคือความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ และเยาวชนก็ต้องการสิ่งนี้ไม่แพ้ใคร การมีสถานที่ที่พวกเขาได้อยู่กับเพื่อน ๆ และมีแบบอย่างที่ดี เช่น เจ้าหน้าที่เยาวชน ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้พวกเขามีรากฐานที่มั่นคงและเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งได้”
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหงาไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในออสเตรเลียเท่านั้น
ประเทศอย่างอังกฤษและญี่ปุ่น ถึงกับจัดตั้งกระทรวงเฉพาะกิจระดับประเทศเพื่อจัดการกับปัญหานี้โดยตรงเช่นกัน
บริการให้ข้อมูลและให้ความช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิต 24 ชั่วโมง Beyond Blue 1300 224 636 หรือ beyondblue.org.au
บริการให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตสำหรับชุมชนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม Embrace Mental Health embracementalhealth.org.au