รัฐบาลกลางออสเตรเลียระบุจะทบทวนกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประเทศ ภายหลังเหตุกราดยิงที่หาดบอนได ซึ่งมีรายงานว่าผู้ก่อเหตุเป็นชายที่อพยพมาจากอินเดีย และบุตรชายของเขาซึ่งเกิดในออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญได้แสดงความกังวลว่า แผนของรัฐบาลในการคุมเข้มกระบวนการตรวจสอบผู้อพยพ อาจนำไปสู่การกีดกันผู้บริสุทธิ์ และสร้างภาระด้านการบริหารจัดการให้กับระบบตรวจคนเข้าเมือง
ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตรวจคนเข้าเมือง ระบุว่า การตอบสนองของรัฐบาลต่อเหตุกราดยิงครั้งนี้ จะรวมถึงการทบทวนกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของประเทศ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของชุดมาตรการที่มีกำหนดเปิดเผยรายละเอียดในช่วงไม่กี่วันข้างหน้า
“เราจะพิจารณาการตั้งค่าระบบตรวจคนเข้าเมืองของเรา เพื่อให้แน่ใจว่ายังเหมาะสม และสามารถคัดกรองหรือป้องกันไม่ให้บุคคลที่มีแนวคิดต่อต้านชาวยิวหรือเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งอาจยุยงให้เกิดความรุนแรง เดินทางเข้ามาในออสเตรเลีย และเพื่อให้มั่นใจว่าบุคคลลักษณะนี้จะไม่สามารถเข้ามาอาศัยในประเทศของเราได้”
แมตต์ ธิสเซิลธเวต กล่าวกับสำนักข่าวเอบีซี (ABC) เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 22 ธ.ค.
ด้าน โทนี เบิร์ก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการภายในประเทศ ยืนยันเมื่อวันพฤหัสบดี (22 ธ.ค.) ว่า รัฐบาลมีแผนทำให้การเพิกถอนวีซ่าและปฏิเสธวีซ่าเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยระบุว่า ผู้ที่ถือวีซ่าเป็นเพียง “แขก” ของออสเตรเลีย
แม้ร่างกฎหมายดังกล่าวยังไม่ได้จัดทำขึ้น แต่รัฐบาลระบุว่าจะพิจารณามอบอำนาจเพิ่มเติมให้กระทรวงกิจการภายในประเทศ (Home affairs) ในการดำเนินการเรื่องวีซ่า
นายเบิร์กแถลงเรื่องนี้ร่วมกับนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบานีซี ซึ่งกล่าวว่า รัฐบาลจะร่างกฎหมายฉบับใหม่เพื่อรับมือกับการต่อต้านชาวยิวและผู้เผยแพร่ถ้อยคำเกลียดชัง
นายเบิร์กกล่าวด้วยว่า “เราไม่ต้องการคนที่เข้ามาในประเทศนี้เพื่อสร้างความเกลียดชัง”
ทั้งนี้รัฐบาลยังเตรียมดำเนินมาตรการเพื่อ ควบคุมวาทะกรรมแห่งความเกลียดชัง โดยนายเบิร์กระบุว่าจะดำเนินการผ่านการ “ลดเกณฑ์” สำหรับความผิดบางประเภท
เขากล่าวว่า
“มีบุคคลบางกลุ่มที่ฉวยประโยชน์จากประเทศที่ยึดถือหลักเสรีภาพในการแสดงออกในรูปแบบที่แตกต่าง โดยมีการเผยแพร่วาทะกรรมจนเลยขีดความพอดี แม้ว่ามันจะยังไม่ถึงขั้นข้ามเส้นไปสู่ความรุนแรง แต่ถ้อยคำเหล่านี้เป็นถ้อยคำที่ลดทอนความเป็นมนุษย์ ที่ไม่อาจยอมรับได้ และไม่มีที่ยืนในออสเตรเลีย”
คำถามถึง “คุณค่าของออสเตรเลีย” หลังเหตุสะเทือนขวัญ
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ธ.ค. ชายสองคนซึ่งตำรวจระบุว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้าย ได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่ผู้ร่วมงานเฉลิมฉลองเทศกาลฮานุกกะห์ที่หาดบอนได ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 15 ราย (รวมหนึ่งในผู้ก่อการร้าย) และได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ตำรวจพบธงที่ทำขึ้นเองซึ่งอ้างอิงถึงกลุ่มไอเอส (Islamic State) จำนวน 2 ผืน ภายในรถที่ผู้ต้องสงสัยใช้ก่อเหตุ โดยผู้ต้องสงสัยคือ นาวีด อัคราม วัย 24 ปี และซาจิด อัคราม บิดาของเขาวัย 50 ปี ซึ่งถูกตำรวจยิงเสียชีวิตระหว่างเหตุโจมตีในวันอาทิตย์
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่อายุน้อยกว่าเป็นผู้ที่เกิดในออสเตรเลีย ขณะที่บิดาเดินทางเข้าประเทศจากอินเดียด้วยวีซ่านักเรียนในปี 1998 ก่อนจะได้รับสถานะผู้พำนักถาวรในเวลาต่อมา
ด้าน แอนดริว เฮสตี สมาชิกรัฐสภาจากพรรคเสรีนิยมและอดีตผู้ดำรงตำแหน่งระดับแนวหน้า กล่าวกับ Sky News เมื่อค่ำวันอังคาร (15 ธ.ค) ว่า ประเด็นหนึ่งที่ “จำเป็นต้องพิจารณาอย่างจริงจัง” คือ นโยบายตรวจคนเข้าเมือง
“จำนวนคนย้ายถิ่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ ใคร” ที่เรารับเข้ามาในประเทศของเรา”
“พวกเขาต้องยอมรับคุณค่าของออสเตรเลีย ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วคือชุดคุณค่า แนวคิด หรือรากฐานทางศีลธรรม–วัฒนธรรมที่มีที่มาจาก ศาสนายูดาย (ยิว) และ ศาสนาคริสต์ ไม่ว่าจะเป็นความเท่าเทียม หลักนิติธรรม ความยินยอม และขนบธรรมเนียมประชาธิปไตย” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่เดินทางเข้ามาในออสเตรเลียผ่านเส้นทางวีซ่าถาวรหรือชั่วคราว จะต้องลงนามใน คำแถลงคุณค่าของออสเตรเลีย (Australian values statement) ซึ่งระบุถึงการเคารพเสรีภาพทางศาสนา และความยึดมั่นในหลักนิติธรรม แต่ ไม่ได้กล่าวถึงคำว่า “หลักจริยธรรมแบบยิว–คริสต์” แต่อย่างใด
ความกังวลต่อกระบวนการคัดกรองผู้ย้ายถิ่น
ผู้เชี่ยวชาญให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอส นิวส์ และแสดงความกังวลว่า ชาวมุสลิม หรือผู้ที่ถูกมองว่าเป็นชาวมุสลิม ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียหรือกำลังย้ายถิ่นฐานเข้ามา อาจถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดเกินพอดี
แคลร์ ลัฟแนน อาจารย์ด้านอาชญาวิทยาจากมหาวิทยาลัย เมลเบิร์น (University of Melbourne กล่าวกับ) เอสบีเอส นิวส์ ว่า
“เมื่อเราเริ่มเห็นข้อเสนอทางกฎหมายในลักษณะนี้ มันมีความเสี่ยงในการใช้ภาษาเกี่ยวกับอัตลักษณ์ที่อาจจะถูกเหมารวม จนกลายเป็นสมมติฐานว่า ใครก็ตามที่ดูเหมือนหรือถูกมองว่าเป็นชาวมุสลิม จะต้องเผชิญกับการกำกับดูแลและการเฝ้าระวังที่เข้มงวดมากขึ้น”
เธอยังระบุด้วยว่า มีตัวอย่างมากมายที่กฎหมายตรวจคนเข้าเมืองถูกนำไปใช้ย้อนหลัง เช่น กฎหมายควบคุมตัวที่เพิ่งมีการปฏิรูปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งหมายความว่า หากมีการยกเครื่องระบบตรวจคนเข้าเมือง อาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่อาศัยอยู่ในออสเตรเลียด้วยวีซ่าที่ถือในปัจจุบัน
จะตรวจสอบแนวคิดทางอุดมการณ์ของใครได้อย่างไร
รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่รัฐบาลจะใช้ตรวจสอบแนวคิดทางอุดมการณ์หรือทัศนคติต่อต้านชาวยิวของผู้ที่ต้องการย้ายถิ่นฐานเข้ามาในออสเตรเลีย ยังไม่ได้รับการเปิดเผยอย่างชัดเจน
ลัฟแนน กล่าวว่า แนวทางหนึ่งที่อาจถูกนำมาใช้ คือการนำรูปแบบคล้ายกับแบบทดสอบสัญชาติ (Citizenship test) ซึ่งใช้ประเมิน “คุณค่าของออสเตรเลีย” มาใช้กับผู้สมัครวีซ่าชั่วคราว
เธอยังระบุว่า การตรวจสอบร่องรอยการใช้งานออนไลน์ของบุคคล อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งในการคัดกรองแนวคิดเหยียดเชื้อชาติหรือทัศนคติที่สนับสนุนความรุนแรง
“โซเชียลมีเดียน่าจะเป็นช่องทางหลักที่รัฐจะเลือกใช้ และนั่นเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง เพราะเราเห็นแล้วว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้การเฝ้าระวังโซเชียลมีเดียอย่างไร” เธอกล่าว
เธอเสริมว่า
“ปัญหาคือ เส้นแบ่งระหว่างสิ่งใดที่ถือว่าเป็นการต่อต้านชาวยิว กับสิ่งใดที่ไม่ใช่นั้น มักพร่าเลือนมาก และมักถูกกำหนดโดยแรงจูงใจทางการเมือง”
เธอยกตัวอย่างว่า บางประเทศอาจมองว่า การวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของรัฐอิสราเอลในฉนวนกาซา ซึ่งมีรายงานว่าเข้าข่ายการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เป็นการต่อต้านชาวยิว แทนที่จะเป็นการวิจารณ์นโยบายหรือการกระทำของรัฐบาล
ด้าน อบูล ริซวี อดีตรองปลัดกระทรวงตรวจคนเข้าเมือง กล่าวกับเอสบีเอส นิวส์ ว่า การทดสอบ “คุณค่าของออสเตรเลีย” เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะหากเป็นแบบทดสอบที่ตอบเพียงใช่หรือไม่ ก็ง่ายเกินไปที่จะผ่าน แต่หากเป็นคำถามปลายเปิดที่ซับซ้อน ก็จะใช้ทรัพยากรจำนวนมากเกินไป
ริซวีระบุว่า การทบทวนนโยบายดังกล่าวอาจพิจารณาไปที่การปรับปรุง บัญชีแจ้งเตือนการเคลื่อนไหว (movement alert list) ของรัฐบาล ซึ่งเป็นฐานข้อมูลที่จัดเก็บรายละเอียดตัวตนของบุคคลที่ถูกมองว่าเป็นประเด็นด้านการตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า ฐานข้อมูลดังกล่าวจำเป็นต้องมีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับแนวคิดหรือทัศนคติของบุคคลนั้น จึงจะสามารถตัดสินได้
“ยกตัวอย่างเช่น หาก โดนัลด์ ทรัมป์ สมัครขอวีซ่า เราอาจทดสอบความยึดมั่นในคุณค่าของออสเตรเลียได้ เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับมุมมองของเขาเผยแพร่อยู่มากมายทั่วโลก” เขากล่าว
“แต่สำหรับคนส่วนใหญ่บนโลก เราไม่มีข้อมูลในลักษณะนั้น คนส่วนใหญ่เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก”
“ทำให้ระบบวีซ่าล่าช้าและติดขัดมากขึ้น”
ริซวีระบุว่า การนำแบบทดสอบใหม่มาใช้ การคัดกรองเชิงลึกจากร่องรอยออนไลน์ หรือการสัมภาษณ์ต่อหน้า จะ ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและใช้เวลามาก
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ระบบวีซ่าจะยิ่งติดขัดมากขึ้นไปอีก ทั้งที่ตอนนี้ก็ล่าช้าอย่างหนักอยู่แล้ว” เขากล่าว
เขายังชี้ว่า อุตสาหกรรมหลายภาคส่วนของออสเตรเลีย พึ่งพานักศึกษาต่างชาติ ผู้ถือวีซ่าทำงานและท่องเที่ยว (working holiday makers) และแรงงานจากต่างประเทศอย่างมาก
นอกจากนี้ เขาเตือนว่า การปฏิรูปดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อผู้ที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในออสเตรเลียด้วยวีซ่า และอาจทำให้กระบวนการยื่นขออยู่ต่อหรือขยายวีซ่า ล่าช้าลงอีก
“ขณะนี้มีผู้คนมากกว่า 400,000 คน ที่อยู่ระหว่างถือวีซ่าชั่วคราวแบบ bridging visa และหลายคนต้องรอการพิจารณานานเป็นปีอยู่แล้ว”
แคลร์ ลัฟแนน ระบุว่า การเปลี่ยนนโยบายอาจไม่เพียงคัดกรองบุคคลจากมุมมองทางการเมืองที่ถูกมองว่าเป็นปัญหาเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ การเลือกปฏิบัติโดยอาศัยอัตลักษณ์ที่ถูกทำให้เป็นเรื่องเชื้อชาติ (racialised identity) และอคติแบบเหมารวม
เธอกล่าวว่า ผู้ที่มาจากประเทศซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แม้ในความเป็นจริงอาจนับถือศาสนาอื่น ก็อาจถูกสันนิษฐานว่าเป็นชาวมุสลิมจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือสัญชาติ
“เรายังเห็นกระแสอคติแฝงต่อชาวมุสลิมในประเทศนี้ดำรงอยู่ และมีความเป็นไปได้ว่าสิ่งนี้จะสะท้อนออกมาในนโยบายตรวจคนเข้าเมือง” เธอกล่าว
ในยุทธศาสตร์การตรวจคนเข้าเมืองของรัฐบาล ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2023 รัฐบาลได้ระบุเป้าหมายนโยบายของระบบตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลียไว้ว่า
“เรามุ่งมั่นที่จะสร้างและเสริมพลังให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการไม่ยอมรับทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และศาสนา รวมถึงการกีดกันทางสังคม”
เอกสารดังกล่าวยังระบุว่า
“เรายินดีต้อนรับและสนับสนุนผู้อพยพย้ายถิ่นให้มีส่วนร่วมอย่างเท่าเทียมในสังคมที่หลากหลายและพหุวัฒนธรรมของออสเตรเลีย”
ทั้งนี้ ระดับการวางแผนโครงการย้ายถิ่นฐานถาวรของออสเตรเลียสำหรับปี 2025–2026 จะถูกกำหนดเพดานไว้ที่ 185,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นการคงระดับเดียวกับนโยบายในปัจจุบัน
















