เวลาที่เราเดินอยู่ตามท้องถนน เห็นอาคารเก่า ๆ หรือสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว เรามักจะมองข้ามและคิดว่ามันเป็นเพียงสิ่งธรรมดา ทว่าในความเป็นจริงแล้ว “ทุกพื้นที่มีเรื่องเล่า” เรื่องราวที่เชื่อมโยงผู้คนในอดีตกับปัจจุบันอย่างแนบแน่น
นี่คือมุมมองของ “บ๊วย – งามดี กาญจนวสุนธรา” นักเขียนที่หลงใหลในการสำรวจและถ่ายทอดเกร็ดประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียผ่านสิ่งเล็ก ๆ ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน เธอเชื่อว่าเรื่องเล่าเล็ก ๆ เหล่านี้สามารถเปิดมิติใหม่ในการเข้าใจประเทศที่เธอเรียกว่า “บ้านหลังที่สอง”
จุดเริ่มต้นจากความสงสัยในสิ่งรอบตัว
บ๊วยเติบโตในกรุงเทพฯ เขตเกาะรัตนโกสินทร์ พื้นที่ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ เธอเล่าว่า “ตั้งแต่เล็ก เวลาเห็นอะไรแล้วสงสัย เราก็จะไปถามผู้ใหญ่ หรือครูบาอาจารย์ มันก็จะมาเติมเต็มความสุขของเราในการที่ได้ศึกษาประวัติศาสตร์”
เมื่อย้ายมาอยู่ออสเตรเลีย ความคุ้นเคยนี้ไม่ได้หายไป แต่กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนให้เธออยากรู้จักสถานที่ใหม่ให้ลึกซึ้งขึ้น
พอมองไปรอบ ๆ ตัวจะเกิดคำถามเยอะมาก และเราก็คิดว่าเราจะต้องอยู่ที่นี่อีกนาน เราเลยพยายามหาข้อมูลต่าง ๆ มา
เธอเริ่มเก็บเรื่องราวไว้กับตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ ถ่ายทอดให้เพื่อนและญาติที่มาเที่ยวฟัง และสังเกตว่า “เขามีความสุขกับการเที่ยวในครั้งนั้น”

ก่อนที่ศูนย์การค้าเมลเบิร์นเซ็นทรัล (Melbourne Central) จะถูกสร้างขึ้น พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่คึกคักและเป็นที่ตั้งของหอคอยยิงลูกตะกั่ว Coop's Shot Tower Credit: Supplied
ค้นคว้าอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ “เล่าเล่น ๆ”
แม้ไม่ได้เรียนมาทางสายประวัติศาสตร์โดยตรง หากแต่เธอจบด้านวิทยาศาสตร์ แต่บ๊วยเรียนรู้ที่จะหาวิธีค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับลเรื่องนั้นๆ อย่างละเอียดรอบด้าน ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
“แรกเริ่มอาจจะง่ายที่สุดเลยคือกูเกิล หรือบางทีก็ถามแชตจีพีที แต่บางครั้งมันก็ไม่ได้มีแหล่งอ้างอิงหรือกิมมิคให้ดูน่าสนใจ” เธอกล่าว
ก่อนเสริมว่าเธอมักจะไปหาหนังสือตามร้านในเมลเบิร์น ซึ่งมีทั้งความหลากหลายและราคาย่อมเยา รวมถึงใช้เว็บไซต์ของห้องสมุดรัฐและท้องถิ่นเพื่อค้นคว้าเพิ่มเติม
อีกแหล่งสำคัญคือการ “เดิน” และ “ฟัง” ไม่ว่าจะเป็นป้ายเล็ก ๆ ตามถนน หรือการเข้าร่วมทัวร์ท้องถิ่นที่มีไกด์เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ “สิ่งเหล่านี้เราจะหาไม่ได้จากในอินเทอร์เน็ต แล้วมันก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของเรื่องที่เราเขียนค่ะ”
การเล่าเรื่องที่ไม่ใช่แค่สาระ
สิ่งที่โดดเด่นในงานของบ๊วยคือการผสมผสานสาระเข้ากับการเล่าเรื่องอย่างมีชีวิตชีวา เธออธิบายว่า “จะคิดจากตัวเองเป็นเกณฑ์ ย้อนกลับไปเหมือนตอนเรียนประถม วิชาสังคม คุณครูจะเอาเรื่องประวัติศาสตร์ที่น่าเบื่อมาเล่าให้ฟังจนเรารู้สึกว่า ‘เฮ้ย มันสนุกนะ’ และเราจำได้แม่น”
ดังนั้น เวลาที่เธอเขียน เธอจะระวังไม่ให้ข้อมูลหนักเกินไปจนผู้อ่านจับประเด็นไม่ได้ และไม่ให้เรื่องเบาเกินไปจนขาดความน่าเชื่อถือ “เวลาเขียนเสร็จ เราจะอ่านซ้ำ ๆ ว่าเข้าใจไหม ลื่นไหลไหม ถ้าผ่านก็โพสต์ค่ะ”
เรื่องเล่าที่ประทับใจ
หนึ่งในเรื่องที่บ๊วยประทับใจที่สุดคือ “เมจิกคอฟฟี่” (Magic Coffee) เมนูที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของเมลเบิร์น “มันเป็นการผสมผสานของศิลปะลงในแก้วกาแฟแค่แก้วเดียว และมีขายแทบทุกคาเฟ่
แต่สิ่งที่ทำให้มันมีมนต์ขลังสมชื่อคือ การที่กาแฟชนิดนี้จะไม่ปรากฎอยู่ในเมนู ลูกค้าจะต้องเดินไปถามบาริสต้าถึงจะได้ลอง” เธอเล่าอย่างมีชีวิตชีวา
สำหรับบ๊วย เมจิกคอฟฟี่เปรียบเสมือนเรื่องเล่ารอบตัว เพราะมันเป็นเหมือนสิ่งธรรมดาที่เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน และอาจจะง่ายต่อการถูกมองข้าม
แต่เมื่อไหร่หากเราเปิดใจ “ฟัง” และ “ตั้งคำถาม” เราก็จะได้พบกับเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องที่เปลี่ยนมุมมองต่อโลกที่เราครั้งหนึ่งเคยเชื่อ
เรื่องเล็กน้อยรอบตัว มันมีอยู่แล้วแต่แค่ว่าเราสนใจอยากจะฟัง อยากจะได้ยินเสียงที่บอกว่ามันมีประวัติศาสตร์นะ มันเลยค่อนข้างที่จะตรงกับคอนเซ็ปท์ของเราบ๊วย งามดี เล่า

บ๊วย งามดี กาญจนวสุนธรา ชี้ว่าการเข้าใจประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียผ่านสิ่งเล็ก ๆ ที่พบเจอในชีวิตประจำวัน ทำให้เข้าใจประเทศนี้ได้ลุ่มลึกมากขึ้น Credit: Supplied
เมื่อเรื่องเล่าเล็ก ๆ เปลี่ยนมุมมองต่อออสเตรเลีย
หลังจากเล่ามากกว่า 100 เรื่อง มุมมองของบ๊วยที่มีต่อออสเตรเลียก็เปลี่ยนไปไม่น้อย “เรายอมรับเลยว่า เรื่องบางเรื่องเราไม่รู้ว่าจุดกำเนิดมาจากที่ออสเตรเลียจริง ๆ” เธอกล่าว พร้อมชี้ว่า นอกจากวัฒนธรรมแบบพหุวัฒนธรรมที่เรารู้จักกันดีแล้ว สิ่งที่น่าทึ่งมากคือประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีรากฐานมาจาก ชนพื้นเมืองของออสเตรเลีย (First Nations)
“First Nations เป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่มีวัฒนธรรมยาวนานมาก ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถ่ายทอดความรู้ต่อเนื่องมาถึงวันนี้”
ประวัติศาสตร์สะท้อนตัวเรา
บ๊วยสะท้อนว่า การหยิบเรื่องราวเล็ก ๆ มาฟังและให้ความสำคัญ เป็นเหมือนการกลับมามองชีวิตของตัวเราเอง
“บางครั้งเราเคยชินกับสิ่งรอบตัวโดยไม่ให้ความสำคัญ จนวันหนึ่งอาจจะสายไปแล้ว การที่เราใส่ใจและมองสิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจและผูกพันกับคนรอบข้างและสิ่งรอบตัวมากขึ้น”
เธอทิ้งท้ายว่า
“ประวัติศาสตร์มันมีอยู่ในทุกที่ มันไม่ได้อยู่แค่ในหนังสือ ขึ้นอยู่กับว่าเรา ‘จะรับฟัง’ หรือ ‘จะเข้าใจมัน’ หรือเปล่า”