บทเรียนจากเจฟฟรีกับประเด็นการพรากลูกโดยผู้ปกครอง

Untitled design (12).jpg

เจฟฟรี สลี ลูกครึ่งไทย–ออสเตรเลีย เล่าเรื่องราวการตามหาแม่ของเขาผ่านโซเชียลมีเดีย Credit: SBS Thai/Warich Noochoy

เจฟฟรี สลี ถูกพ่อพาออกจากไทยตั้งแต่เด็ก โดยไม่ได้พบแม่อีกเลยกว่า 30 ปี กระทั่งเขาตัดสินใจตามหาเธอผ่านโลกออนไลน์และได้พบกันอีกครั้ง


ชญาดา พาวเวลล์— เอสบีเอสไทย

ในชีวิตของใครหลายคน ความทรงจำวัยเด็กคือพื้นที่ปลอดภัย แต่สำหรับเจฟฟรี สลี เด็กชายลูกครึ่งไทย–ออสเตรเลีย ความทรงจำในช่วงวัยเด็กกลับเต็มไปด้วยความกลัว เสียงทะเลาะรุนแรงกันของพ่อแม่ในห้อง การมาของตำรวจ และร่างของแม่ที่พยายามคว้าเขาไว้ในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่พ่อจะพาเขาและน้องชายเดินทางไปแสนไกล

และนั่นคือคืนสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าแม่...

คำถามที่ไม่มีคำตอบ

“แม่อยู่ที่ไหน?” นี่คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจเจฟฟรีมาตลอดหลายสิบปี คำถามที่ไม่มีใครตอบเขาได้ แม้แต่พ่อแท้ๆ ที่เลี้ยงเขามาด้วยความเงียบและความลับ

เจฟฟรีในวัย 5 ขวบและน้องชายถูกพ่อส่งตัวจากกรุงเทพฯ ไปอาศัยอยู่กับญาติที่ประเทศออสเตรเลีย โดยที่แม่ของเขา “ดุ๊ก” นงลักษณ์ อินพาเพียร ไม่รู้มาก่อนว่าลูกจะถูกพาออกนอกประเทศ

“ก็พยายามไปหมดทุกที่ ไปสถานทูตออสซีก็บอกว่าเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วอีกอย่างเราไม่มีทะเบียนสมรสด้วยแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ เราไม่มีปัญญาที่จะบินไปที่นู่นเราไม่มีเงินมากพอ"

ก็ไม่รู้ว่าไปหาตรงไหนหรือเริ่มยังไง มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ” เธอเล่าเสียงนิ่ง
ไม่มีใครที่ไม่อยากตามหา เราก็คิดถึงเขาทุกวัน
นงลักษณ์ อินพาเพียร เปิดเผยกับเอสบีเอสไทย
ตลอดชีวิต เจฟฟรีโตมาในครอบครัวที่ไม่มีคำอธิบาย เขาถามพ่อ แต่พ่อไม่เคยเล่า แม่ถูกลบหายจากบทสนทนาเหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน แต่ยิ่งถูกห้ามถาม เขายิ่งอยากรู้คำตอบ
Geoffrey's mum edited.jpg
เจฟรี สลี เมื่อครั้งยังเด็กกับคุณแม่ของเขาที่ประเทศไทย Credit: Supplied/Geoffrey Slee

เศษเสี้ยวความทรงจำ

เมื่อโตพอจะออกเดินทางได้เอง เจฟฟรีเริ่มบินกลับไปยังสถานที่ที่เขาจำได้ลาง ๆ ภูเก็ต กรุงเทพฯ คอนโดเก่า ที่ ๆ เหมือนจะเป็นเบาะแสเดียวของแม่

เขาตามหาตามที่อยู่ที่พ่อให้มา แต่สุดท้ายก็พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาไม่สามารถเข้าไปหรือเข้าพักในห้องนั้นได้ เขาต้องหาที่พักใหม่ และในที่สุดก็กลับมาออสเตรเลียมือเปล่า

“ตอนนั้นแค่คิดว่า สักวันหนึ่ง แม่อาจเห็นชื่อผมในเฟซบุ๊ก แล้วอาจจะติดต่อมา”

พลังโลกออนไลน์

เมื่อต้นปี 2025 เจฟฟรี ตัดสินใจลองตามหาแม่อีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับคู่หมั้นของเขากลับมาเที่ยวเมืองไทย พร้อมสูติบัตรและหัวใจที่ยังไม่ยอมแพ้

เขาเริ่มจากสถานทูตออสเตรเลีย แต่คำตอบที่ได้คือ นี่เป็นเรื่องครอบครัว ไม่อยู่ในขอบเขตที่เราจะช่วยได้ก่อนจะแนะนำให้ไปสถานีตำรวจไทย ซึ่งแม้จะได้รับความช่วยเหลืออย่างดี แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงที่คำถามเดิม เอกสารที่เป็นจิกซอว์ตัวสุดท้าย “คุณมีเลขบัตรประชาชนแม่ไหม?”

att.4H3mxZoZQ76IOElPxp2r9A6XUCHylVgzbi_RB47wB_c.jpeg
เจฟฟรี สลี และน้องชายของเขาตอนที่อาศัยในประเทศไทย Credit: Supplied/Geoffrey Slee
แม้ว่าเจฟฟรีกลับออสเตรเลียอีกครั้งกับความว่างเปล่า แต่ความช่วยเหลือจากหลายฝ่ายจากเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักพ่อของเขาที่ชื่อ เขมิกา ที่ช่วยเปิดห้องคอนโดที่เขาเคยอยู่กับครอบครัว ครั้งยังเด็กและการมีรายงานจากตำรวจไทย

ทำให้เขามีความรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก้าวเข้าใกล้กับความฝันไปอีกหนึ่งก้าว จนมีคนไทยที่รู้จักแนะนำให้เขาติดต่อเพจ “อีเต้ยอีจัน” ที่ได้ยินมาว่าสามารถตามหาคนในไทยได้
ตอนนั้นไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ผมส่งทุกอย่างที่มีไป สูติบัตร รายงานตำรวจ รูปถ่าย... แล้วก็รอ
เจฟฟรี เล่า

ชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน

ในช่วงเวลาเดียวกัน พ่อของเจฟฟรีป่วยหนัก แม้จะมีช่องว่างระหว่างกันมากมายแต่เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบในฐานะลูก

“เรากับพ่อไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก... แต่ตอนนั้น ผมคิดว่า อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อของเรา”

หลังจากที่พ่อเสียชีวิต เจฟฟรีค้นเจอเอกสารสำคัญเกี่ยวกับแม่ในโรงเก็บของ มันคือข้อมูลที่เขารอมาทั้งชีวิต

เขารีบส่งหลักฐานเหล่านั้นให้เพจออนไลน์ อีเต้ย อีจัน และไม่นานนัก ก็มีข้อความกลับมาว่า “เรามีเซอร์ไพรส์ให้คุณ…”

“ตอนนั้นผมคิดว่าเขาอาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่พอเขาบอกว่าเขาถามว่า “พร้อมไหม” ผมรู้สึกประหม่าตื่นเต้น จนได้เห็นใบหน้าผู้หญิงคนหนึ่งบนหน้าจอ
สิ่งที่ทำให้ผมโล่งใจที่สุด คือแม่ยังจำผมได้… แม่ยังยอมรับผมเป็นลูก
เจฟฟรี สลี

ความสุขในวันที่ไม่คาดคิด

แม่ดุ๊ก นงลักษณ์ บอกว่า เธอตกใจมากตอนที่เจฟฟรีติดต่อมา เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางตัวอย่างไรเมื่อลูกชายที่จากไปในวัย 5 ขวบ กลับมาในร่างของผู้ใหญ่เต็มตัว

“เราก็โหยหามาตลอดเนาะ ไม่รู้จะทําตัวยังไง แต่ก็คิดว่า คงได้แหละ คงพูดกันรู้เรื่อง”
Untitled design.jpg
เจฟฟรี สลี ลูกครึ่งไทย–ออสเตรเลีย ที่ในวันนี้ได้เจอกับแม่ของเขาหลังจากถูกพรากไปเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว Credit: Supplied/Geoffrey Slee

บาดแผลที่ต้องการการเยียวยา

เรื่องราวของเจฟฟรีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น แต่มันสะท้อนปัญหา “การลักพาตัวเด็กข้ามประเทศโดยผู้ปกครอง” ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก และไม่ใช่ทุกคนที่จะตามหากันเจออีกครั้ง

เอสบีเอสไทยสอบถามไปยังองค์กรของรัฐบาลออสเตรเลียเพื่อสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกรณีนี้ โดยโฆษกจากกระทรวงยุติธรรมออสเตรเลียแจ้งในอีเมลว่า

การลักพาตัวเด็กข้ามประเทศโดยผู้ปกครองหมายถึงการที่ผู้ปกครองคนหนึ่งพาเด็กออกจากประเทศที่เด็กพำนักอยู่ตามปกติ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย หรือไม่มีคำสั่งศาลรองรับ

และการพาเด็กออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย หรือไม่มีคำสั่งศาล ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของเด็ก และของผู้ปกครองที่เหลืออยู่

รัฐบาลออสเตรเลียจัดให้เรื่องนี้อยู่ในกรอบของ “อนุสัญญาเฮก ค.ศ.1980” (Hague Convention on the Civil Aspects of International Child Abduction) ซึ่งไทยก็เป็นภาคีด้วย

เงื่อนไขของการยื่นคำร้องเพื่อขอส่งตัวเด็กกลับ

  • เด็กต้องมีอายุต่ำกว่า 16 ปี
  • เด็กต้องพำนักอยู่ตามปกติในประเทศภาคีที่ต้องการให้ส่งตัวกลับ ก่อนที่จะถูกพาออกหรือกักตัวไว้โดยมิชอบ
  • การพาตัวออกไปหรือกักตัวต้องละเมิดสิทธิ์ในการดูแลที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ยื่นคำร้อง
  • ผู้ยื่นคำร้องต้องกำลังใช้สิทธิ์นั้นอยู่ หรือจะใช้สิทธิ์นั้นหากไม่มีการพาออกหรือกักตัว

ข้อยกเว้น (ที่ศาลอาจปฏิเสธการส่งตัวเด็กกลับได้)

  • ผู้ยื่นคำร้องไม่ได้ใช้สิทธิ์การดูแลในช่วงที่เด็กถูกพาตัวออกไป
  • ผู้ยื่นคำร้องให้ความยินยอม หรือยอมรับการกระทำหลังจากนั้น
  • การส่งตัวกลับอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก เช่น กรณีความรุนแรงในครอบครัว
  • เด็กคัดค้านการกลับอย่างหนักแน่น และมีวุฒิภาวะพอที่จะรับฟังความเห็น
  • หากยื่นคำร้องช้ากว่า 12 เดือนหลังการลักพาตัว ศาลจะพิจารณาว่าเด็ก “ตั้งหลักในประเทศใหม่ได้แล้วหรือไม่”
ในออสเตรเลีย หน่วยงานกลางที่รับผิดชอบคือ Attorney-General’s Department (ACA) ซึ่งสามารถให้คำแนะนำ หรือช่วยประสานงานกับหน่วยงานในประเทศคู่ภาคี เช่นไทย

หรือ International Social Service Australia (ISS) ที่ช่วยครอบครัวตามหาคนหายข้ามพรมแดน
คุณสามารถติดต่อได้ที่ https://www.iss.org.au

หรือ ACA: australiancentralauthority@ag.gov.au โทรศัพท์ที่ 1800 100 480

หากคุณอาศัยในประเทศไทยและต้องการความช่วยเหลือด้านนี้ในประเทศไทย คุณสามารถยื่นร้องขอส่งเด็กกลับคืนได้ที่ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โทรศัพท์ที่ (+66) 0 2 272 5201)

แม้มีเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ

เจฟฟรีหวังว่าหากใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนกับเขา หรือพ่อแม่คนใดที่กำลังเผชิญเรื่องราวแบบเดียวกัน เรื่องราวของเขาอาจเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาว่า...อย่าหมดหวัง
ผมหวังว่าเรื่องของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ว่าอย่ายอมแพ้ แม้คุณจะมีความทรงจำที่เจ็บปวด แต่จงมองหาสิ่งดี ๆ ที่ยังเหลืออยู่
เจฟฟรี สลี
การกลับมาเจอกันไม่ใช่จุดจบของเรื่อง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา คำตอบของคำถามที่วนเวียนมาทั้งชีวิต อาจไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจทั้งหมด

แต่เพียงแค่ได้รู้ว่า “เธอหรือเขายังอยู่” ก็อาจเพียงพอแล้ว

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share

Recommended for you

Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand