ชญาดา พาวเวลล์— เอสบีเอสไทย
ในชีวิตของใครหลายคน ความทรงจำวัยเด็กคือพื้นที่ปลอดภัย แต่สำหรับเจฟฟรี สลี เด็กชายลูกครึ่งไทย–ออสเตรเลีย ความทรงจำในช่วงวัยเด็กกลับเต็มไปด้วยความกลัว เสียงทะเลาะรุนแรงกันของพ่อแม่ในห้อง การมาของตำรวจ และร่างของแม่ที่พยายามคว้าเขาไว้ในวินาทีสุดท้าย ก่อนที่พ่อจะพาเขาและน้องชายเดินทางไปแสนไกล
และนั่นคือคืนสุดท้ายที่เขาได้เห็นหน้าแม่...
คำถามที่ไม่มีคำตอบ
“แม่อยู่ที่ไหน?” นี่คือคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจเจฟฟรีมาตลอดหลายสิบปี คำถามที่ไม่มีใครตอบเขาได้ แม้แต่พ่อแท้ๆ ที่เลี้ยงเขามาด้วยความเงียบและความลับ
เจฟฟรีในวัย 5 ขวบและน้องชายถูกพ่อส่งตัวจากกรุงเทพฯ ไปอาศัยอยู่กับญาติที่ประเทศออสเตรเลีย โดยที่แม่ของเขา “ดุ๊ก” นงลักษณ์ อินพาเพียร ไม่รู้มาก่อนว่าลูกจะถูกพาออกนอกประเทศ
“ก็พยายามไปหมดทุกที่ ไปสถานทูตออสซีก็บอกว่าเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วอีกอย่างเราไม่มีทะเบียนสมรสด้วยแค่อยู่ด้วยกันเฉยๆ เราไม่มีปัญญาที่จะบินไปที่นู่นเราไม่มีเงินมากพอ"
ก็ไม่รู้ว่าไปหาตรงไหนหรือเริ่มยังไง มันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ” เธอเล่าเสียงนิ่ง
ไม่มีใครที่ไม่อยากตามหา เราก็คิดถึงเขาทุกวันนงลักษณ์ อินพาเพียร เปิดเผยกับเอสบีเอสไทย
ตลอดชีวิต เจฟฟรีโตมาในครอบครัวที่ไม่มีคำอธิบาย เขาถามพ่อ แต่พ่อไม่เคยเล่า แม่ถูกลบหายจากบทสนทนาเหมือนเธอไม่เคยมีตัวตน แต่ยิ่งถูกห้ามถาม เขายิ่งอยากรู้คำตอบ

เจฟรี สลี เมื่อครั้งยังเด็กกับคุณแม่ของเขาที่ประเทศไทย Credit: Supplied/Geoffrey Slee
เศษเสี้ยวความทรงจำ
เมื่อโตพอจะออกเดินทางได้เอง เจฟฟรีเริ่มบินกลับไปยังสถานที่ที่เขาจำได้ลาง ๆ ภูเก็ต กรุงเทพฯ คอนโดเก่า ที่ ๆ เหมือนจะเป็นเบาะแสเดียวของแม่
เขาตามหาตามที่อยู่ที่พ่อให้มา แต่สุดท้ายก็พบว่าทุกอย่างเปลี่ยนไป เขาไม่สามารถเข้าไปหรือเข้าพักในห้องนั้นได้ เขาต้องหาที่พักใหม่ และในที่สุดก็กลับมาออสเตรเลียมือเปล่า
“ตอนนั้นแค่คิดว่า สักวันหนึ่ง แม่อาจเห็นชื่อผมในเฟซบุ๊ก แล้วอาจจะติดต่อมา”
พลังโลกออนไลน์
เมื่อต้นปี 2025 เจฟฟรี ตัดสินใจลองตามหาแม่อีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมกับคู่หมั้นของเขากลับมาเที่ยวเมืองไทย พร้อมสูติบัตรและหัวใจที่ยังไม่ยอมแพ้
เขาเริ่มจากสถานทูตออสเตรเลีย แต่คำตอบที่ได้คือ นี่เป็นเรื่องครอบครัว ไม่อยู่ในขอบเขตที่เราจะช่วยได้ก่อนจะแนะนำให้ไปสถานีตำรวจไทย ซึ่งแม้จะได้รับความช่วยเหลืออย่างดี แต่ทุกอย่างก็จบลงตรงที่คำถามเดิม เอกสารที่เป็นจิกซอว์ตัวสุดท้าย “คุณมีเลขบัตรประชาชนแม่ไหม?”

เจฟฟรี สลี และน้องชายของเขาตอนที่อาศัยในประเทศไทย Credit: Supplied/Geoffrey Slee
ทำให้เขามีความรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก้าวเข้าใกล้กับความฝันไปอีกหนึ่งก้าว จนมีคนไทยที่รู้จักแนะนำให้เขาติดต่อเพจ “อีเต้ยอีจัน” ที่ได้ยินมาว่าสามารถตามหาคนในไทยได้
ตอนนั้นไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ผมส่งทุกอย่างที่มีไป สูติบัตร รายงานตำรวจ รูปถ่าย... แล้วก็รอเจฟฟรี เล่า
ชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน
ในช่วงเวลาเดียวกัน พ่อของเจฟฟรีป่วยหนัก แม้จะมีช่องว่างระหว่างกันมากมายแต่เขารู้สึกถึงความรับผิดชอบในฐานะลูก
“เรากับพ่อไม่เคยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนัก... แต่ตอนนั้น ผมคิดว่า อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อของเรา”
หลังจากที่พ่อเสียชีวิต เจฟฟรีค้นเจอเอกสารสำคัญเกี่ยวกับแม่ในโรงเก็บของ มันคือข้อมูลที่เขารอมาทั้งชีวิต
เขารีบส่งหลักฐานเหล่านั้นให้เพจออนไลน์ อีเต้ย อีจัน และไม่นานนัก ก็มีข้อความกลับมาว่า “เรามีเซอร์ไพรส์ให้คุณ…”
“ตอนนั้นผมคิดว่าเขาอาจจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม แต่พอเขาบอกว่าเขาถามว่า “พร้อมไหม” ผมรู้สึกประหม่าตื่นเต้น จนได้เห็นใบหน้าผู้หญิงคนหนึ่งบนหน้าจอ
สิ่งที่ทำให้ผมโล่งใจที่สุด คือแม่ยังจำผมได้… แม่ยังยอมรับผมเป็นลูกเจฟฟรี สลี
ความสุขในวันที่ไม่คาดคิด
แม่ดุ๊ก นงลักษณ์ บอกว่า เธอตกใจมากตอนที่เจฟฟรีติดต่อมา เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีก และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางตัวอย่างไรเมื่อลูกชายที่จากไปในวัย 5 ขวบ กลับมาในร่างของผู้ใหญ่เต็มตัว
“เราก็โหยหามาตลอดเนาะ ไม่รู้จะทําตัวยังไง แต่ก็คิดว่า คงได้แหละ คงพูดกันรู้เรื่อง”

เจฟฟรี สลี ลูกครึ่งไทย–ออสเตรเลีย ที่ในวันนี้ได้เจอกับแม่ของเขาหลังจากถูกพรากไปเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว Credit: Supplied/Geoffrey Slee
บาดแผลที่ต้องการการเยียวยา
เรื่องราวของเจฟฟรีไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่งเท่านั้น แต่มันสะท้อนปัญหา “การลักพาตัวเด็กข้ามประเทศโดยผู้ปกครอง” ที่ยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก และไม่ใช่ทุกคนที่จะตามหากันเจออีกครั้ง
เอสบีเอสไทยสอบถามไปยังองค์กรของรัฐบาลออสเตรเลียเพื่อสอบถามข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในกรณีนี้ โดยโฆษกจากกระทรวงยุติธรรมออสเตรเลียแจ้งในอีเมลว่า
การลักพาตัวเด็กข้ามประเทศโดยผู้ปกครองหมายถึงการที่ผู้ปกครองคนหนึ่งพาเด็กออกจากประเทศที่เด็กพำนักอยู่ตามปกติ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย หรือไม่มีคำสั่งศาลรองรับ
และการพาเด็กออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย หรือไม่มีคำสั่งศาล ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของเด็ก และของผู้ปกครองที่เหลืออยู่
รัฐบาลออสเตรเลียจัดให้เรื่องนี้อยู่ในกรอบของ “อนุสัญญาเฮก ค.ศ.1980” (Hague Convention on the Civil Aspects of International Child Abduction) ซึ่งไทยก็เป็นภาคีด้วย
เงื่อนไขของการยื่นคำร้องเพื่อขอส่งตัวเด็กกลับ
- เด็กต้องมีอายุต่ำกว่า 16 ปี
- เด็กต้องพำนักอยู่ตามปกติในประเทศภาคีที่ต้องการให้ส่งตัวกลับ ก่อนที่จะถูกพาออกหรือกักตัวไว้โดยมิชอบ
- การพาตัวออกไปหรือกักตัวต้องละเมิดสิทธิ์ในการดูแลที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ยื่นคำร้อง
- ผู้ยื่นคำร้องต้องกำลังใช้สิทธิ์นั้นอยู่ หรือจะใช้สิทธิ์นั้นหากไม่มีการพาออกหรือกักตัว
ข้อยกเว้น (ที่ศาลอาจปฏิเสธการส่งตัวเด็กกลับได้)
- ผู้ยื่นคำร้องไม่ได้ใช้สิทธิ์การดูแลในช่วงที่เด็กถูกพาตัวออกไป
- ผู้ยื่นคำร้องให้ความยินยอม หรือยอมรับการกระทำหลังจากนั้น
- การส่งตัวกลับอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก เช่น กรณีความรุนแรงในครอบครัว
- เด็กคัดค้านการกลับอย่างหนักแน่น และมีวุฒิภาวะพอที่จะรับฟังความเห็น
- หากยื่นคำร้องช้ากว่า 12 เดือนหลังการลักพาตัว ศาลจะพิจารณาว่าเด็ก “ตั้งหลักในประเทศใหม่ได้แล้วหรือไม่”
ในออสเตรเลีย หน่วยงานกลางที่รับผิดชอบคือ Attorney-General’s Department (ACA) ซึ่งสามารถให้คำแนะนำ หรือช่วยประสานงานกับหน่วยงานในประเทศคู่ภาคี เช่นไทย
หากคุณอาศัยในประเทศไทยและต้องการความช่วยเหลือด้านนี้ในประเทศไทย คุณสามารถยื่นร้องขอส่งเด็กกลับคืนได้ที่ ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โทรศัพท์ที่ (+66) 0 2 272 5201)
แม้มีเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำ
เจฟฟรีหวังว่าหากใครที่ตกอยู่ในสถานการณ์เหมือนกับเขา หรือพ่อแม่คนใดที่กำลังเผชิญเรื่องราวแบบเดียวกัน เรื่องราวของเขาอาจเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเขาว่า...อย่าหมดหวัง
ผมหวังว่าเรื่องของผมจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ว่าอย่ายอมแพ้ แม้คุณจะมีความทรงจำที่เจ็บปวด แต่จงมองหาสิ่งดี ๆ ที่ยังเหลืออยู่เจฟฟรี สลี
การกลับมาเจอกันไม่ใช่จุดจบของเรื่อง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการเยียวยา คำตอบของคำถามที่วนเวียนมาทั้งชีวิต อาจไม่ได้นำมาซึ่งความเข้าใจทั้งหมด
แต่เพียงแค่ได้รู้ว่า “เธอหรือเขายังอยู่” ก็อาจเพียงพอแล้ว