ลิซ บักลีย์-สโตกส์ บอกว่าเธอใฝ่ฝันอยากเป็นแม่มาตลอดชีวิต
แต่การเริ่มต้นสร้างครอบครัวของเธอกลับใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้
“ฉันกับสามีแต่งงานกันค่อนข้างช้า เราอยากมีลูกมาก และวิธีเดียวที่เราทำได้ก็คือผ่านการบริจาคไข่ ตอนนั้นฉันอายุ 47 ปี ซึ่งอายุของฉันกลายเป็นอุปสรรคใหญ่”
ลิซ ซึ่งปัจจุบันอายุห้าสิบกว่าปีและอาศัยอยู่ที่ซันไชน์โคสต์ บอกว่าเธอเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์สำหรับผู้ที่ต้องการไข่บริจาค แต่ต้องใช้เวลาราว 7 เดือนกว่าจะจับคู่กับผู้บริจาคได้
“มันเป็นกระบวนการที่ยาวนานและเหนื่อยมาก เพราะคุณต้องเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองออกไป แต่กลับไม่ได้รับการตอบกลับอะไรเลย มันรู้สึกเหมือนใจสลา เวลาคิดว่าเราคงไม่มีวันได้เป็นแม่ หรืออาจจะไม่มีโอกาสนั้นเลย เพราะไม่มีใครตอบรับคำขอของคุณ”
หลังจากนั้น ลิซก็ได้มีลูกสามคนจากไข่ของผู้บริจาครายเดียวกัน และเธอก็ได้ลูกชายวัย 6 ขวบ และแฝดวัย 4 ขวบอีกสองคน
เธอยังบอกด้วยว่า ยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดกับผู้บริจาคไข่คนนั้นจนถึงทุกวันนี้ เธอเปิดเผยเรื่องราวว่าทำไมบุคคลนั้นตัดสินใจบริจาคไข่ว่า
“เหตุผลที่เธอตัดสินใจบริจาคไข่ก็เพราะว่าเธอเองเคยต้องเข้ารับการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) มาก่อน หลังจากที่ต้องผ่าตัดเอาท่อนำไข่ออก เธอจึงเข้าใจทั้งกระบวนการและความเจ็บปวดทางใจของผู้ที่อยากมีลูกดี”
แม้กระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลานาน แต่ลิซบอกว่าเธอถือว่าโชคดีมากที่ได้พบผู้บริจาคไข่
นับตั้งแต่เด็กหลอดแก้วคนแรกของโลกเกิดขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1980 อุตสาหกรรมเทคโนโลยีเจริญพันธุ์ก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในปัจจุบัน เด็กที่เกิดในออสเตรเลียประมาณ 1 ใน 16 คน เป็นผลจากการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) โดยความต้องการไข่บริจาคมีมากกว่าจำนวนไข่ที่มีอยู่ในประเทศหลายเท่า
ดร.คาริน แฮมเมอร์เบิร์ก นักวิจัยอาวุโสจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยโมแนช กล่าวว่า ความต้องการไข่บริจาคที่เพิ่มขึ้น มาจากจำนวนผู้ที่มีปัญหาภาวะมีบุตรยากที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงในปัจจุบันมักจะเริ่มมีบุตรหรือพยายามตั้งครรภ์ช้ากว่าแต่ก่อนค่ะ สัดส่วนของผู้หญิงที่พยายามมีลูกในช่วงปลายวัย 30 หรือวัย 40 ต้น ๆ ตอนนี้สูงกว่าช่วง 20 ปีก่อนมาก และเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัย 40 จำนวนไม่น้อยก็จะประสบปัญหาในการตั้งครรภ์”
ดร.แฮมเมอร์เบิร์กกล่าวว่า ผู้หญิงกลุ่มนี้มักจะได้รับคำแนะนำให้ใช้ไข่บริจาค ซึ่งในออสเตรเลียสามารถหาไข่บริจาคได้สองทาง คือ ผ่านคนรู้จักส่วนตัวเหมือนในกรณีของลิซ หรือผ่านคลินิกทำเด็กหลอดแก้ว (IVF)
อย่างไรก็ตาม เธอเสริมว่า “การบริจาคไข่โดยไม่หวังผลตอบแทน” หรือ altruistic donation (แอล-ทรู-อิ-สติก) นั้นยังคงเกิดขึ้นไม่บ่อยนักในออสเตรเลีย
“ส่วนใหญ่การบริจาคไข่ในออสเตรเลียเกิดขึ้นกับคนที่รู้จักกันค่ะ เช่น เราเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่งมาพร้อมกับพี่สาว น้องสาว หรือญาติที่ยินดีบริจาคไข่ให้เธอโดยเฉพาะ แต่ไม่ยินดีจะบริจาคให้คนอื่นทั่วไป และตรงนี้แหละคือช่องว่างของปัญหา เราไม่มีคนมากพอที่พร้อมจะทำสิ่งนี้ด้วยความตั้งใจดีล้วน ๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ”
แม้จะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่ามีผู้รอรับไข่บริจาคจำนวนเท่าใด แต่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นพบว่า ในจำนวนผู้หญิง 59 คนที่อยู่ในรายชื่อรอไข่บริจาคจากคลินิกเด็กหลอดแก้ว มีเพียง 13 คนเท่านั้นที่ได้รับไข่บริจาคจริง
สตีเฟน เพจ ทนายความด้านภาวะเจริญพันธุ์จากสำนักงานกฎหมาย Page Provan ระบุว่า ความต้องการที่สูงนี้ทำให้หลายคนต้องหันไปใช้ไข่ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการนำเข้า ไข่เจริญพันธุ์ จากต่างประเทศเข้าสู่ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ มาเลเซีย ยูเครน และประเทศอื่น ๆ”
พ่อแม่บางคู่ก็เลือกเดินทางไปต่างประเทศเพื่อซื้อไข่และเข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยาก ซึ่งแต่ละประเทศอาจมีกฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมที่แตกต่างกัน
ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ผู้บริจาคไข่สามารถได้รับค่าตอบแทนจำนวนมาก แต่ในออสเตรเลีย การให้หรือรับผลประโยชน์ทางการเงินโดยตรงหรือโดยอ้อมถือว่าผิดกฎหมาย ซึ่งดร.แฮมเมอร์เบิร์กมองว่าเป็น “สถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลกประหลาด”
“ในระบบที่ทุกคนได้รับค่าตอบแทน ทั้งแพทย์ คลินิก และผู้รับซึ่งต้องจ่ายเงินจำนวนมาก มีเพียงผู้หญิงที่เป็นผู้บริจาคไข่เท่านั้นที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนใด ๆ เลย ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับหลักความเท่าเทียมที่เราควรยึดถือ”
เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนการบริจาคไข่เจริญพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญบางรายเสนอว่าออสเตรเลียควรพิจารณาปรับแนวทางการบริจาคไข่เจริญพันธ์ใหม่
ในสหราชอาณาจักร ผู้บริจาคไข่ก็ไม่ได้รับค่าจ้างโดยตรงเช่นกัน แต่สามารถขอรับ “ค่าชดเชยมาตรฐาน” ราว 2,000 ดอลลาร์ต่อรอบการบริจาค เพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และยังสามารถเบิกค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ เช่น ค่าเดินทาง ค่าที่พัก หรือค่าดูแลเด็ก
ดร.แฮมเมอร์เบิร์กเสนอว่า ออสเตรเลียอาจนำระบบการจ่ายค่าชดเชยแบบนี้มาใช้ได้เช่นกัน
“ในมุมหนึ่ง ฉันคิดว่าน่าจะมีทางสายกลาง ที่สามารถแสดงถึงการรับรู้ถึงความพยายามและความเสี่ยงที่ผู้หญิงต้องเผชิญ รวมถึงการให้คุณค่ากับสิ่งที่พวกเธอต้องผ่านกระบวนการทั้งหมดนี้”
สตีเฟน เพจ เห็นด้วยว่าออสเตรเลียอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนบางอย่าง และเสนอว่า ควรให้ข้อมูลผู้หญิงมากขึ้นเกี่ยวกับไข่ที่พวกเธอแช่แข็งไว้ในคลินิกเด็กหลอดแก้วเพื่อใช้ในอนาคต ว่ามีทางเลือกที่จะบริจาคได้เช่นกัน
ปัจจุบันมีการประมาณว่ามีไข่เจริญพันธ์ที่ถูกแช่แข็งเก็บไว้ในออสเตรเลียมากถึง 100,000 ฟอง และงานวิจัยที่ศึกษาการแช่แข็งไข่เจริญพันธ์ในรัฐวิกตอเรียเป็นเวลา 10 ปีพบว่า มีผู้ป่วยน้อยกว่า 13% ที่กลับมาใช้ไข่ของตนเองในแต่ละปี
“ตอนนี้เรามีไข่จำนวนมากที่ถูกแช่แข็งไว้ แต่แทบไม่มีไข่เจริญพันธ์ส่วนเกินเหล่านี้ถูกนำไปบริจาคหรือใช้งานจริง ปัญหาคือไข่เหล่านี้ถูกเก็บอยู่ในที่จัดเก็บจำนวนมาก แต่แทบไม่มีไข่ฟองใดเลยที่ถูกนำมาบริจาค ซึ่งอาจจะไม่มีวันถูกนำมาใช้เลยก็ได้ แต่หากผู้หญิงบางคนได้รับการให้คำปรึกษาและมีความตั้งใจดีในการบริจาคไข่เหล่านั้น ก็อาจช่วยบรรเทาปัญหานี้ได้”
เพจกล่าวว่า สุดท้ายแล้ว การใช้ไข่ที่บริจาคมาจากผู้หญิงภายในประเทศเอง อาจเป็นทางออกที่ยุติธรรมกว่าสำหรับเด็กที่เกิดจากกระบวนการเหล่านี้
“ถ้าเรามองจากมุมของเด็ก เด็กจำนวนมากที่เกิดจากการปฏิสนธิด้วยไข่บริจาค มักอยากรู้ว่าตัวเองมาจากไหน หากผู้บริจาคอยู่ในออสเตรเลีย มันจะง่ายกว่ามาก เด็กอาจจะพบว่าเขาอยู่แค่ไม่กี่ถนนถัดไป หรืออยู่ในรัฐข้างเคียง ไม่ใช่อีกฟากหนึ่งของโลกที่อาจไม่มีวันได้เจอกันเลย”
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อาจยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน และในขณะที่ปัญหาความต้องการไข่บริจาคในออสเตรเลียยังคงมีอยู่ ลิซจึงพยายามช่วยเชื่อมโยงผู้บริจาคและผู้ที่อยากมีลูกผ่านกลุ่มเฟซบุ๊กที่เธอตั้งขึ้นเอง
เธอบอกว่า ทุกวันนี้เธอยังเห็นผลกระทบจากการขาดแคลนไข่บริจาคอยู่เสมอ เธอกล่าวว่า “มันเกิดขึ้นทุกวัน”
“มันทำให้ฉันใจสลายค่ะ ฉันรู้จักผู้หญิงหลายคนในกลุ่ม ที่ฉันเคยคุยด้วยเองหรือส่งข้อความหาทางเฟซบุ๊ก พวกเธอยังไม่เจอผู้บริจาคไข่เลย คนหนึ่งอยู่ในกลุ่มตั้งแต่เริ่มต้นมาเกือบห้าปีแล้ว มันยากมากจริง ๆ และทุกครั้งที่ได้ฟังเรื่องของพวกเธอ ฉันก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือให้กำลังใจ และให้พื้นที่สำหรับพวกเธอได้พูดคุยและแบ่งปันกัน







