“ฉันดื่มมัทชะทุกเช้า มันคือเครื่องดื่มประจำตัว และมันเป็นวิธีที่ฉันเริ่มต้นวันใหม่” เมลิสซา ลินด์ซีย์ ลูกค้าประจำร้าน Asha Tea House ในซานฟรานซิสโกกล่าว
เจ้าของร้านนี้คือ เดวิด เหลา เขาอธิบายให้ฟังว่า
“มัทฉะคือชาเขียวที่บดด้วยหินจนเป็นผง แตกต่างจากการชงใบชาในน้ำร้อน เพราะเราบริโภคทั้งใบ”
บริษัท GS Haly เป็นหนึ่งในผู้จัดหามัทฉะให้กับคาเฟ่ต่างๆ อารอน วิก ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายจัดหาชา กล่าวว่า มัทฉะเคยถูกใช้ในพิธีชงชาแบบญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันได้รับความนิยมและมีการบริโภคอย่างแพร่หลายทั่วโลก ทั้งในรูปแบบเครื่องดื่มและเป็นส่วนประกอบในของหวาน
“มีการใช้มัทฉะมาอย่างยาวนาน ทั้งใช้เป็นส่วนประกอบในเบเกอรี่ ขนมหวาน และลูกกวาดต่าง ๆ”
ที่จริงแล้ว มัทฉะยังถูกยกให้เป็น ซูเปอร์ฟู้ด ความนิยมของมัน ปรากฏเต็มโซเชียล เช่นรูปมัทฉะลาเต้สีเขียวสด ซึ่งเป็นที่นิยมในคาเฟ่ไม่ว่าจะเป็นโตเกียว
เรื่อยมาจนถึงลอสแอนเจลิส แต่เมื่อไม่นานนี้ อารอน วิก เตือนว่าอุตสาหกรรมและคนรักมัทฉะกำลังมีปัญหา เพราะผลผลิตมัทฉะปีนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่พุ่งสูงทั่วโลก
อารอนกล่าวว่า “อุปทานมีจำกัด ไม่ใช่เพราะขาดนวัตกรรมหรือขาดการพัฒนา” แต่เพราะญี่ปุ่นปลูกชาได้เพียงเท่านี้”
ปัญหาด้านอุปทานบวกกับความนิยมของมัทฉะ ทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะมัทฉะญี่ปุ่นซึ่งขึ้นชื่อด้านคุณภาพ คาดว่าปีนี้อาจปรับราคาสูงขึ้นถึง 70% ทั่วโลก
“เราพูดเสมอว่าความต้องการมัทฉะกำลังเพิ่มขึ้น แต่แค่หนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ความต้องการพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดด แบบไม่เคยเป็นมาก่อน"
เดวิด เหลา เจ้าของร้าน Asha Tea House ก็ยืนยันได้ถึงกระแสความนิยมนี้
“ราคามัทฉะพุ่งสูงขึ้นมาก สำหรับร้านเรา ราคาขึ้นมากกว่าสองเท่า ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน เราขายเครื่องดื่มมัทฉะวันละหลายร้อยแก้ว และใช้มัทฉะหลายร้อยกิโลกรัมทุก ๆ เดือนหรือสองเดือน เรียกได้ว่าเยอะมากจริง ๆ”
ขณะเดียวกัน แลร์รี ทิสคอร์เนีย ผู้สอนพิธีชงชาแบบญี่ปุ่น ก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
แลร์รี ทิสคอร์เนียเล่าว่า “ผมกับภรรยาสอนพิธีชงชาเป็นการส่วนตัวทุกสัปดาห์ มีนักเรียนมาเรียนตลอด เดี๋ยวนี้คนที่ไปซื้อมัทฉะตามร้านชา ถูกจำกัดให้ซื้อได้เพียงกระป๋องเล็ก ๆ 20 กรัม ทั้งที่เมื่อปีก่อนยังซื้อได้ทีละหลายร้อยกรัม มันแปลกมากจริง ๆ”
ราคามัทชะที่พุ่งสูง มาจากสภาพอากาศแย่ในญี่ปุ่น และการขาดแคลนแรงงานทั้งในญี่ปุ่นและจีน รัฐบาลญี่ปุ่นพยายามช่วยเหลือเกษตรกร ด้วยงบประมาณสนับสนุน เครื่องมือ และแม้แต่การให้คำปรึกษา เพื่อจูงใจให้หันมาปลูก เทนฉะ (ใบชาที่ใช้ทำมัทชะ) แทนเซ็นฉะ
โดยตั้งแต่ปี 2008 การผลิตเทนฉะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า และการส่งออกไปสหรัฐก็คิดเป็นถึงหนึ่งในสามของการส่งออกชาทั้งหมดของญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ว่าจะเพียงพอหรือไม่ เพราะอารอน วิกชี้ว่า ภาษีนำเข้าของสหรัฐยิ่งกดดันตลาดมากขึ้น โดยมัทฉะญี่ปุ่นถูกเก็บภาษี 15% และมัทฉะจากจีนถูกเก็บเกือบ 38%
“ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ มาจากสมดุลอุปสงค์อุปทานล้วน ๆ คือมีใบชาน้อย แต่ความนิยมมัทฉะพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว และนอกจากนี้ และเราจะต้องเจอการขึ้นราคาอีกจากภาษีนำเข้าแน่นอน”
ทั้งหมดนี้หมายความว่า… คนรักมัทชะคงต้องเตรียมใจกับการจ่ายแพงขึ้นทุกครั้งที่ยกแก้ว