*คำเตือน: เนื้อหากล่าวถึงชนพื้นเมืองผู้ล่วงลับ
ออสเตรเลียมีรูปปั้นผู้นำยุคอาณานิคมตั้งแต่ช่วงปี 1788 – 1901 กว่า 200 อนุสรณ์
แต่การยกย่องบุคคลจากยุคนั้นว่าเป็นวีรบุรุษกำลังถูกท้าทายโดยผู้ที่มองว่ามันคือประวัติศาสตร์ที่บิดเบือนจากความเป็นจริง ทั้งการสังหารหมู่ การยึดที่ดิน และการกดขี่ชนพื้นเมือง
ประเด็นลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้นมาแล้วทั่วโลก เช่น ในแคนาดา สหรัฐอเมริกา แอฟริกา ยุโรป และอนุทวีปอินเดีย
ในออสเตรเลีย นักเคลื่อนไหวบางกลุ่มลงมือล้มรูปปั้นที่พวกเขามองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความอยุติธรรม แม้ตำรวจจะถือว่าเป็นการทำลายทรัพย์สิน
เอสบีเอสพูดคุยกับกลุ่มนิรนามในเมลเบิร์น พวกเขาประกาศชัดว่าเป้าหมายคือการลบรูปปั้นยุคอาณานิคมทั้งหมด ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นสิ่งรำลึกถึงความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้นในออสเตรเลีย อดีตที่ไม่ควรถูกเฉลิมฉลอง
การล้มรูปปั้นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้าน ตอบโต้ความรุนแรงที่รูปปั้นสะท้อนถึง เราต้องการชี้ให้เห็นว่าความหวังอยู่ที่วัฒนธรรมแห่งการต่อต้านนักเคลื่อนไหวคนที่ 1 กล่าว
“มันช่วยให้เรากลับมามองว่า ประเทศนี้ปกปิดความจริงไว้มากแค่ไหน ตอนที่ผู้อพยพกลุ่มแรกเดินางมาที่นี่” นักเคลื่อนไหวคนที่ 2 กล่าว

รูปปั้นกัปตันคุกในซิดนีย์และเมลเบิร์นตกเป็นเป้าหมายของกลุ่มต่อต้านหลายครั้ง Source: AAP / JOEL CARRETT/AAPIMAGE
นั่นคือรูปปั้นกัปตันเจมส์ คุก หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สร้างขึ้นเมื่อปี 1879 พร้อมข้อความแกะสลักบันทึกไว้ว่า “ค้นพบทวีปนี้” แม้จะเป็นดินแดนที่ชนพื้นเมืองอาศัยอยู่มาก่อนนับพันปี
ในปี 2023 เทศบาลเมืองซิดนีย์เคยลงมติให้มีการทบทวนข้อความบนฐานรูปปั้นในยุคอาณานิคมจำนวน 25 แห่ง แต่อีวอนน์ เวลดอน สมาชิกเทศบาลฯ ซึ่งเป็นชาวอะบอริจินกล่าวกับเอสบีเอสว่าการดำเนินการกลับหยุดชะงัก
สำหรับกลุ่มนักเคลื่อนไหวจากเมลเบิร์น พวกเขามองว่าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้าเกินไป
ในช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มนี้ยกระดับการเคลื่อนไหว ด้วยการตระเวนตัดเศียรรูปปั้นพระเจ้า จอร์จที่ 5 ที่มีความสูง 2.7 เมตร เมื่อเดือนมิถุนายน ในปี 2024 ในวันที่ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์
ต่อมา เศียรรูปปั้นนั้นได้ปรากฏบนเวทีคอนเสิร์ตของวง Kneecap จากไอร์แลนด์เหนือ ในเมลเบิร์น เมื่อเดือนมีนาคม 2025
ขณะที่กรมตำรวจรัฐวิกตอเรียยังคงสอบสวนกรณีเศียรรูปปั้นที่หายไป
อย่างไรก็ตาม ค่าซ่อมรูปปั้นที่เสียหายมาจากภาษีประชาชน ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึงหลักหมื่นดอลลาร์
ริชาร์ด ซิลลิงค์ จากบริษัทอนุรักษ์ศิลปะระดับนานาชาติระบุว่า ปัญหานี้กลายเป็นประเด็นระดับโลก หลังเหตุการณ์ประท้วง Black Lives Matter ในสหราชอาณาจักร เมื่อปี 2020
“ที่เมืองบริสตอล (ในสหราชอาณาจักร) รูปปั้นเอ็ดเวิร์ด คอลสตัน พ่อค้าทาส ถูกผู้ประท้วงล้มลง แล้วกลิ้งไปตามถนนจนถึงท่าเรือ”

ส่วนเศียรของรูปปั้นพระเจ้า จอร์จที่ 5 ที่ถูกตัดออก Credit: SBS The Feed
ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 150 ปีก่อน มีพยานพบเคราเธอร์ ซึ่งมีอาชีพเป็นศัลยแพทย์ด้วย ขโมยกะโหลกศีรษะของชายชาวอะบอริจินชื่อ วิลเลียม แลนน์ จากห้องดับจิตในเมืองโฮบาร์ต เมื่อปี 1869 เพื่อส่งให้วิทยาลัยศัลยแพทย์ในราชูปถัมป์ ในลอนดอน
หลังการรณรงค์อันยาวนาน ในปี 2022 เทศบาลเมืองโฮบาร์ตมีมติให้รื้อรูปปั้นออก แต่คงฐานไว้ และมีแผนจะติดตั้งแผ่นข้อความเล่าประวัติทั้งของเคราเธอร์และแลนน์
แต่รูปปั้นก็หายไปเสียก่อน เหลือเพียงข้อความพ่นสีบนฐานว่า “WHAT GOES AROUND (ทุกการกระทำมีผลตอบแทน)” และ “DECOLONISE (ปลดแอกอาณานิคม)”
สมาชิกเทศบาลเมืองโฮบาร์ต ลูอิส เอลเลียต กล่าวว่าการทำลายทรัพย์สินสาธารณะเป็นเรื่องรับไม่ได้ และสิ่งนี้กระทบจิตใจลูกหลานของเคราเธอร์อย่างมาก
“รูปปั้นถูกล้มเพราะข้อกล่าวหาที่ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ ต่อชายผู้ที่ทำประโยชน์มากมายให้ชุมชน รูปปั้นที่ชุมชนในอดีตเป็นผู้จ่ายเพราะต้องการให้มีขึ้น เราควรพิจารณาทั้งชีวิตของเขาและค่านิยมของยุคนั้นด้วย ไม่ใช่ตัดสินจากสิ่งเดียว”

เจ้าหน้าที่ตำรวจและเครื่องกีดขวางตั้งล้อมรอบรูปปั้นของอดีตนายกรัฐมนตรีวิลเลียม เคราเธอร์ Source: SBS
คำถาม: “คุณคิดอย่างไรเมื่อเห็นภาพตำรวจปกป้องรูปปั้นเหล่านี้?”
คำตอบ: “มันชัดเจนว่าตำรวจปกป้องผิดจุด พวกเขาควรจะปกป้องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเรา สุสานของเราที่กำลังถูกยึดไป หรือแม้แต่ลูกหลานของเราที่กำลังถูกจองจำ ตำรวจควรปกป้องสิทธิพื้นฐานของเรามากกว่า”
จอห์นสโตนเชื่อว่า ผู้คนโกรธเรื่องรูปปั้นมากกว่าที่จะโกรธเรื่องคนพื้นเมืองเสียชีวิตในที่คุมขัง
ป้าของเธอ ทันย่า เดย์ เสียชีวิตในปี 2017 หลังศีรษะกระแทกผนังห้องขังในสถานีตำรวจแคสเซิลเมน โดยเธอถูกจับเพราะนอนหลับบนรถไฟและเมาในที่สาธารณะ
และอิโมเจนไม่มีวันลืมเรื่องนั้นได้
“การที่ผู้คนโกรธเรื่องรูปปั้นเหมือนเป็นการตบหน้า ป้าของฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่เสียชีวิตไปนะ”
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

คนไทยในออสเตรเลียถกประเด็นวันชาติ ยังควรเป็นวันที่ 26 มกราคมหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ให้สัมภาษณ์กับเอสบีเอสระบุว่า พวกเขาไม่ใช่ชนพื้นเมือง แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้สำคัญ และประวัติศาสตร์ควรถูกเล่าตามความจริง
คำถาม: “ชาวอะบอริจินบางคนที่เราได้พูดคุยด้วยกล่าวว่า การล้มรูปปั้นยิ่งทำให้เกิดความแตกแยก คุณคิดว่าอย่างไร?”
ชายคนที่ 1: “ผมไม่คิดว่าการล้มรูปปั้นเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ แต่เป็นเพราะผู้นำที่ชอบใช้ประเด็นเหล่านี้สร้างความแตกแยกในสังคมมากกว่า”
ชายคนที่ 2: “การเหยียดเชื้อชาติมีอยู่ในประเทศนี้มาตั้งแต่ต้น รูปปั้นอาจกระตุ้นให้มันปะทุ แต่ก็อาจเป็นการเปิดโปงความจริงที่ซ่อนอยู่ เราต้องคิดเรื่องนี้ให้มากขึ้น และพูดคุยกันให้มากขึ้น”
คุณผู้ฟังสามารถรับชมสารคดีเรื่องนี้โดยละเอียดได้จาก SBS The Feed ทางช่องยูทูปของพวกเขา
เรื่องที่เกี่ยวข้อง

The Stolen Generation: ประวัติศาสตร์แสนเจ็บปวดและผลกระทบที่ยังคงอยู่