อาชีพล่ามและนักแปลยังคงยืนหยัดแม้เครื่องมือแปลภาษา AI กำลังเข้ามาแทนที่

Young woman using laptop and talking on the phone via speakerphone

วันที่ 30 กันยายนของทุกปีตรงกับวันแปลภาษาสากล Source: Getty / fotostorm

องค์การสหประชาชาติหรือ United Nations ได้รับรองวันแปลภาษาสากลเป็นเวลาแปดปีแล้ว ทุกๆ วันที่สามสิบ กันยายน จะมีการเฉลิมฉลองและระลึกถึงเหล่าผู้ที่มีอาชีพด้านการแปลภาษา ผู้เป็นคนขับเคลื่อนความเข้าใจทางวัฒนธรรมและเชื่อมโยงสังคมเข้าด้วยกัน แต่นักแปลและล่ามในออสเตรเลียบางกลุ่มยังเชื่อว่าวงการแปลภาษาจะต้องปกป้องคนงานมากกว่านี้และลดกำแพงภาษาลง


เมื่อปีที่แล้ว คาบิคเล่าว่าเธอถูกมัดมือชกให้กู้สถานการณ์คอขาดบาดตาย
แม่ของเธอถูกส่งไปที่ห้องฉุกเฉิน แต่แม่ของเธอพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วแพทย์ก็ไม่รู้ภาษาจีนแต้จิ๋วเหมือนกัน สุดท้ายคาบิคเลยต้องทำหน้าที่เป็นล่าม

“ในวินาทีวิกฤตตอนนั้น ทุกอย่างดูยากไปหมด ฉันทำอะไรไม่ถูก แล้วก็รู้สึกใจสลายที่ต้องแปลภาษาและต้องอยู่ให้กำลังใจแม่ในเวลาเดียวกัน”

คาบิคกล่าวว่าอารมณ์ของเธอเอ่อล้นในสถานการณ์ตอนนั้น

“ฉันว่าสิ่งที่น่าเสียใจที่สุดคือหมอบอกให้ฉันแปลให้แม่ฟังว่าแม่กำลังจะตาย แต่ฉันเอ่ยปากออกไปไม่ได้ เหมือนกับติดอยู่ในลำคอ สุดท้ายฉันเลยไม่ได้บอกแม่ ทุกวันนี้ฉันยังหวังว่าตอนนั้นน่าจะมีคนสื่อสารกับแม่ได้ อย่างน้อยแม่จะได้รู้ ฉันคิดว่าสมาชิกในครอบครัวไม่ควรมีใครต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น”

จินฮยอน โจ เป็นอาจารย์สอนที่ภาควิชาภาษาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแม็คควารี

เธอให้ความเห็นว่ากรณีที่คนในครอบครัวถูกบังคับให้รับหน้าที่ล่ามนั้นผิดจริยธรรม และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้

“การขอให้คนในครอบครัวที่พูดได้สองภาษาต้องคอยเป็นล่ามนั้นไม่ยุติธรรมเลย ในเชิงจริยธรรมนั้นถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะว่าในออสเตรเลียเรามีบริการล่ามสำหรับบริการทางแพทย์อยู่แล้ว”

ดร.จินฮยอนคิดว่าล่ามและนักแปลกว่าสองหมื่นคนในออสเตรเลียนั้นโดนมองข้าม

“คนแยกไม่ค่อยออกว่าหน้าที่ล่ามกับนักแปลต่างกันอย่างไร ถ้าจะอธิบายคร่าวๆ คือล่ามเป็นการพูด ส่วนการแปลเป็นำการเขียน ในออสเตรเลียนั้นทั้งล่ามและนักแปลต่างก็ถูกเมิน ในเกาหลีและจีนนั้นพวกเขาปรากฏตัวในสื่ออยู่เป็นประจำ เพราะว่าล่ามนั้นต้องทำงานให้เจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือต้องติดตามประธานาธิบดีเวลาเยือนต่างประเทศ พวกเค้าเป็นคนดังดีๆ นี่เอง แต่เราเคยเห็นล่ามหรือนักแปลในสื่อออสเตรเลียบ้างไหม”

เซลีน่า แฟน ทำงานเป็นล่ามและนักแปลภาษาเวียดนามมากว่าสามสิบปีแล้ว

เธอกล่าวว่าหน้าที่ของเธอมีมากกว่าการสื่อสารภาษา

“บางครั้งเราสื่อสารกันด้วยอวัจนภาษาที่ไม่ใช้คำพูดหรือตัวอักษร แต่ในฐานะล่าม คุณต้องเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมทั้งสองภาษา พอเวลาแปลคุณก็ต้องเก็บความให้ครบ”

รองศาสตราจารย์โรสแมรี ไวเบอร์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย เธอทำงานเป็นแพทย์ทั่วไปที่คลินิก Companion House ซึ่งให้บริการทางแพทย์กับผู้ลี้ภัยในรัฐ Australian Capital Territory

อาชีพล่ามนั้นช่วยให้เราให้บริการสาธารณสุขให้กับคนที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ การที่ผู้คนได้รับฟังข้อมูลทางการแพทย์ในภาษาของตนเองได้และสามารถเล่าอาการให้เจ้าหน้าที่ฟังด้วยตัวเองนั้นสำคัญที่สุด ถึงเราจะหาล่ามมาแปลตัวต่อตัวไม่ได้ เราก็ยังมีบริการแปลผ่านโทรศัพท์ ฉันบอกได้เลยว่าคนไข้รู้สึกโล่งใจและมีความสุขแค่ไหนเวลาที่พวกเขาสื่อสารได้ด้วยตัวเอง และพวกเราก็เข้าใจพวกเขาได้ดี”

ดร.จินฮยอนกล่าวว่าการแปลภาษาในบริบททางการแพทย์และการวินิจฉัยโรคนั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับล่ามเป็นอย่างมาก

“โรคบางชนิดก็แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้ อย่างเช่นโรคซึมเศร้า หลายๆ ประเทศในทวีปแอฟริกาก็ไม่มีแนวคิดเกี่ยวกับโรคนี้ ผู้คนที่นั่นก็มองว่าผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเป็นคนขี้เกียจ หรือใช้เวลานอนมากไป ถ้าหากล่ามไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมดังกล่าว พวกเขาจะแปลภาษาออกมายังไง”


ความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์หรือ เอไอ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งประเด็นท้าทายสำหรับนักแปล

เมื่อวันที่ 9 กันยายนที่ผ่านมา บริษัทแอปเปิลได้เปิดตัวหูฟังแอร์พอด ที่ตอนนี้สามารถแปลภาษาได้ในตัวแล้ว

แอปเปิ้ลอ้างว่าคุณสมบัติแปลผ่านหูฟังจะช่วยลดกำแพงภาษาในบทสนทนา

ในเดือนเมษายน แอปพลิเคชันสอนภาษา ดูโอลิงโก ได้เพิ่มบทเรียนภาษาใหม่ถึง 148 ภาษา ผ่านการทำงานของเอไอ

ในอดีตดูโอลิงโกใช้เวลาถึง 12 ปีกว่าจะพัฒนาบทเรียนสำหรับ 100 ภาษาแรกบนแอปลิเคชัน

บริษัทไมโครซอฟต์ก็เพิ่งเผยแพร่รายงานที่ศึกษาว่าศักยภาพของเอไอจะแทนที่งานได้กี่อาชีพ

ในรายงานระบุว่างานของล่ามและนักแปลนั้นมีความเสี่ยงถูกแทนที่มากที่สุด ด้วยสัดส่วนงานที่ไอเอสามารถทำได้แทนถึงร้อยละ 98

แต่นักแปลมืออาชีพอย่างเซลีนาเชื่อว่าเธอจะทำงานร่วมกับการใช้เทคโนโลยีควบคู่ไปด้วยได้

“ฉันไม่ได้มองว่าเอไอเป็นความเสี่ยง เทคโนโลยีพวกนี้มันอยู่กับพวกเราอยู่แล้ว จริงๆ ก็อยู่มาตั้งนานแล้ว เราต้องรู้จักใช้งาน ประยุกต์ ให้เทคโนโลยีทำงานให้เรา ไม่ใช่ให้แย่งงานเรา”

หลายครั้งผู้ให้บริการแปลภาษาก็มักจะใช้เอไอช่วยแปลในขั้นแรก จากนั้นจึงให้นักแปลตรวจทานความถูกต้องภายหลัง

แต่ดร.จินฮยอนชี้ว่าเทคโนโลยีการแปลปัจจุบันนั้นยังมีข้อเสียอยู่

“ส่วนใหญ่แล้วถ้าเราใช้โปรแกรมแปลข้อความนั้นมักจะกินเวลานานกว่าเราแปลด้วยตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าโปรแกรมที่ใช้นั้นมีคุณภาพดีแค่ไหน อีกประเด็นก็คือถ้านักแปลมีหน้าที่ตรวจทานหลังไอเอ พวกเขาก็จะได้ค่าจ้างนิดเดียว ผู้ให้บริการทางภาษามักจะมีเกณฑ์คิดค่าจ้างอยู่แล้ว ถ้าแปลด้วยตัวเองพวกเขาก็ได้รับเงินมากกว่า”

รองศาสตราจารย์โรสแมรี ไวเบอร์ กล่าวว่าโปรแกรมแปลภาษามีประโยชน์ต่อแพทย์ทั่วไปอย่างเธอไม่น้อย ตราบใดที่ใช้งานโปรแกรมอย่างเหมาะสม

“เวลาเราทำงานกับคนไข้ แพทย์และล่ามจะต้องเข้าใจปัญหาของโรคให้ตรงกัน จุดไหนใช้คำนี้ได้ จุดไหนใช้คำนี้ไม่ได้ พวกเราคงดูแลคนไข้ไม่ได้ถ้าหากไม่มีบริการล่ามเหล่านี้”

คาบิคบอกว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน เธออยากให้มีการแจ้งอย่างชัดเจนว่ามีบริการภาษาแบบใดบ้างในออสเตรเลีย

“ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอะไรหรือมาจากวัฒนธรรมไหน อย่างไรก็ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ถ้าตอนนั้นฉันมีคนแปลภาษาให้ ช่วงสุดท้ายของชีวิตแม่ฉันคงไม่แย่ขนาดนั้น ถ้าแม่รู้เข้าใจว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น แม่คงรู้สึกปลอดภัยกว่านี้ โดยเฉพาะตอนที่ฉันไม่ได้อยู่ข้างเตียงเพื่อแปลภาษาให้แม่ และฉันคิดว่าทุกคนควรเข้าถึงบริการนี้”

รายงานโดยยาสมิน อัลวาคัล จากเอสบีเอสนิวส์ เรียบเรียงและนำเสนอโดย อาทิตยา ทีปวีต เอสบีเอสไทย

ติดตามข่าวสารล่าสุดจากออสเตรเลียและทั่วโลกเป็นภาษาไทยจากเอสบีเอส ไทย ได้ที่ เว็บไซต์ หรือ Facebook และ Instagram

Share
Follow SBS Thai

Download our apps
SBS Audio
SBS On Demand

Listen to our podcasts
Independent news and stories connecting you to life in Australia and Thai-speaking Australians.
Understand the quirky parts of Aussie life.
Get the latest with our exclusive in-language podcasts on your favourite podcast apps.

Watch on SBS
Thai News

Thai News

Watch in onDemand