รัฐมนตรีว่าการกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย โทนี เบิร์ก ระบุว่าจำนวนผู้อพยพย้ายถิ่นที่เดินทางเข้าประเทศควรมีจำนวนลดลง แต่การกำหนด “เป้าหมายตายตัวแบบหลายปี” อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม
เขากล่าวว่าตัวเลขของการรับผู้อพยพย้ายถิ่นเริ่มลดลงต่อเนื่อง และขณะนี้ตัวเลขนี้ต่ำกว่าจุดสูงสุดหลังโควิดราว 40%
แม้กระทรวงมหาดไทยจะเสนอแนวคิดให้กำหนดกรอบเป้าหมายผู้อพยพย้ายถิ่นล่วงหน้า 4 ปี แต่รัฐมนตรีเบิร์กเห็นว่าแนวทางนี้อาจไม่เหมาะสม
เขากล่าวในรายการ ABC Insiders ว่า
“สิ่งที่ผมกังวลคือ ถ้าเราผูกมัดตัวเองมากเกินไปล่วงหน้า เราอาจพลาดความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของประเทศที่เปลี่ยนไป” เบิร์กย้ำว่าออสเตรเลียควรรักษา “ความยืดหยุ่น” เอาไว้
“ผมไม่อยากให้เราต้องเดินตามตัวเลขที่ประกาศไว้ล่วงหน้าเมื่อสามปีก่อน จนไม่สามารถขยับตามสิ่งที่ประเทศต้องการจริงในช่วงเวลานั้นได้”
เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลกลางออสเตรเลียประกาศว่าจะจัดสรรโควตาวีซ่าถาวร 185,000 ที่ในปีงบประมาณ 2025–26 ซึ่งถือว่าเป็นการคงอัตราเดิมจากปีงบประมาณก่อนหน้า
เบิร์กระบุว่า อัตราการย้ายถิ่นฐานโดยรวมจะถูก “ปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของประเทศ”
“ตัวเลขผู้อพยพสุทธิ (net overseas migration) ที่เราคาดไว้จะค่อย ๆ ลดลง และเป็นการปรับเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมหลังยุคโควิด”
เขาย้ำว่าประเด็นสำคัญ ไม่ใช่จำนวนเป้าหมายล่วงหน้าที่ตายตัว แต่คือการรักษาความยืดหยุ่น เพื่อให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองตอบสนองกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้ทันเวลา

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของออสเตรเลีย โทนี เบิร์ก ระบุว่าการกำหนด “จำนวนตัวเลขผู้ย้ายถิ่นตายตัวแบบหลายปี” อาจไม่ใช่วิธีที่เหมาะสม Credit: Joel Carrett / Mick Tsikas
“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องทำงานอย่างโปร่งใส โดยการพิจารณาว่าปัจจัยต่าง ๆ เช่น ที่อยู่อาศัย ระบบสาธารณสุข การศึกษา และบริการสาธารณะ ส่งผลอย่างไรในการกำหนดตัวเลขผู้ย้ายถิ่น”
ดันเนียมระบุว่า คนออสเตรเลียจำนวนมาก รวมถึงตัวรัฐมนตรีเอง ก็ยอมรับว่าตัวเลขของผู้อพยพย้ายถิ่นในปัจจุบัน ‘สูงเกินไป’
ด้านรัฐมนตรีเบิร์ก ย้ำว่า การถกเถียงเรื่องนโยบายผู้ย้ายถิ่นควรเกิดขึ้นอย่าง “ให้เกียรติและเคารพกัน” ไม่ควรปลุกกระแสแบ่งแยกหรือสร้างความเกลียดชังในสังคม
เขากล่าวว่า
“เมื่อก่อนการเมืองอาจส่งสัญญาณแบบแนบเนียนให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าใจ แต่ตอนนี้วาทกรรมแบบนั้นไม่ได้ถูกซ่อนอีกต่อไป มันชัดเจนและเปิดเผยจนเหมือนเสียงปี่สก็อตที่ดังลั่นและทุกคนได้ยิน”
เขาย้ำว่า ออสเตรเลียคือประเทศพหุวัฒนธรรม และเมื่อมีการโจมตีหรือใช้วาทกรรมดูหมิ่นผู้อพยพย้ายถิ่นหรือผู้คนจากต่างวัฒนธรรม “ประชาชนจำนวนมากที่เป็นพลเมืองออสเตรเลียเมื่อได้ยินมันทำให้พวกเขาเศร้าใจมาก”
ฝ่ายต้านผู้อพยพปะทะกับกลุ่มต้านเหยียดเชื้อชาติ
ในอีกด้านหนึ่ง บรรยากาศการชุมนุมทั่วประเทศตึงเครียด เมื่อ กลุ่มต่อต้านผู้อพยพ (anti-immigration) ได้จัดการเดินขบวน และถูกกลุ่มต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ (anti-racism) ออกมาปะทะเชิงสัญลักษณ์ในหลายเมืองหลวง รวมถึงบางพื้นที่ในภูมิภาค
ที่นครเมลเบิร์น หน่วยปราบจลาจลของตำรวจต้องใช้สเปรย์พริกไทย และอุปกรณ์เสียงแฟลช (flash distraction devices) เพื่อพยายามสกัดไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันโดยตรง
ตำรวจวิกตอเรียเปิดเผยว่า มีเจ้าหน้าที่สองนายถูกส่งโรงพยาบาล หลังถูกกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านเหยียดเชื้อชาติขว้าง ก้อนหิน ขวดแก้ว และผลไม้ ใส่
มีผู้ถูกจับกุมอย่างน้อยหนึ่งคน และตำรวจระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างสอบสวนเพื่อระบุตัวผู้ก่อเหตุรายอื่นเพิ่มเติม
ผู้บังคับการตำรวจพื้นที่เวสต์เมโทร เวย์น ชีสแมน ให้สัมภาษณ์ว่า
“ความจริงแล้ว มีผู้ประท้วงที่มีท่าทีแข็งกร้าวอยู่ราว 40–50 คนที่พยายามทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ”
เขาเสริมว่า สิ่งที่น่ากังวลยิ่งกว่า คือกลุ่มคนเหล่านี้ยืนปะปนอยู่กับผู้ชุมนุมในวงกว้าง แต่ “ไม่มีใครพยายามห้ามหรือแยกตัวออก”
“ในทางหนึ่ง มันเท่ากับว่าพวกเขาให้การสนับสนุน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้” เขากล่าว
ในขณะเดียวกันจากรายงานของสำนักข่าว ABC ชีสแมนระบุว่า กลุ่มผู้ชุมนุม March for Australia “มีพฤติกรรมสงบ รับฟังคำสั่งของเจ้าหน้าที่ และให้ความร่วมมือ”
ผู้จัดกิจกรรม March for Australia ระบุว่า มีการวางแผนจัดชุมนุมใน 14 พื้นที่ทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เข้าร่วมดูจะน้อยกว่าการประท้วงเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาอย่างชัดเจน ซึ่งขณะนั้นมีผู้เข้าร่วมประมาณ 50,000 คน ทั่วประเทศ
ขบวน March for Australia เรียกร้องให้ “ยุติการอพยพขนาดใหญ่ (mass migration)” โดยอ้างว่า “การอพยพจำนวนมากได้บ่อนทำลายสายใยที่เชื่อมผู้คนในชุมชนเข้าด้วยกัน”
อย่างไรก็ตาม การชุมนุมก่อนหน้านี้ของกลุ่มดังกล่าว ถูกวิจารณ์อย่างหนัก หลังพบว่า กลุ่มนีโอนาซีเข้ามาปราศรัยในหลายเมือง และยังเกิดเหตุ โจมตีพื้นที่ตั้งค่ายของชาวอะบอริจินในเมลเบิร์น
อ่านเพิ่มเติม

ผู้ย้ายถิ่นคือปัญหาหรือคำตอบของออสเตรเลีย?
ABC News Verify เพิ่งเผยแพร่วิดีโอที่ปรากฏให้เห็นว่า หนึ่งในผู้จัดงาน March for Australia มีการประสานงานกับสมาชิกนีโอนาซี ในการชุมนุมที่ซิดนีย์เมื่อเดือนสิงหาคม
แม้ว่าในการชุมนุมวันนี้ จะไม่พบกลุ่ม National Socialist Network (NSN) ที่แต่งกายชุดดำอย่างที่เห็นก่อนหน้านี้ แต่ สำนักข่าว The Age รายงานว่า มีสมาชิกของ NSN จำนวนหนึ่งเข้าร่วมในเมลเบิร์นในลักษณะ “นอกเครื่องแบบ”
แม้ผู้เข้าร่วมบางส่วนของ March for Australia จะ ปฏิเสธแนวคิดแบบนาซี แต่ ยังมีการกล่าวอ้างต่อผู้อพยพอย่างไม่มีหลักฐานรองรับ โดยโยงว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งทางประวัติศาสตร์และปัจจุบัน
ที่ซิดนีย์ ขบวนของกลุ่ม March for Australia และกลุ่มต้านเหยียดเชื้อชาติอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ถนน แต่เจ้าหน้าที่ รักษาระยะให้ทั้งสองฝั่งไม่เผชิญหน้าโดยตรง
กลุ่ม Unite Against Racism: Migrants and Refugees Are Welcome ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะจัดการชุมนุมและกิจกรรมตอบโต้การเคลื่อนไหวของ March for Australia ในหลายเมืองใหญ่ ได้แก่ ซิดนีย์ เมลเบิร์น แคนเบอร์รา บริสเบน เพิร์ท และแอดิเลด
พวกเขาระบุว่า สหภาพแรงงานและกลุ่มชุมชนหลากหลายภาคส่วนได้ร่วมมือกัน เพื่อยืนหยัดต้านกระแสของ March for Australia
แชนนอน พ็อตเตอร์ ผู้ประสานงานกลุ่ม Labor for Civil Liberties กล่าวว่า
“อันตรายจากกลุ่มขวาจัดกำลังเกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนและทวีความรุนแรง”
เธอย้ำว่า พรรคแรงงาน (Labor) จำเป็นต้องตื่นตัวต่อภัยคุกคามจากลัทธิฟาสซิสต์ พร้อมเรียกร้องให้ร่วมกับประชาชนในการแสดงจุดยืนว่า
“แนวคิดนาซีและกลุ่มขวาจัดไม่มีที่ยืนในประเทศนี้”