หากคุณกำลังคิดจะไปใช้ชีวิต ศึกษา หรือทำงานในออสเตรเลีย ขั้นตอนสำคัญคือการขอวีซ่า ซึ่งมักต้องแสดงหลักฐานทักษะภาษาอังกฤษ ข้อกำหนดเกี่ยวกับระดับภาษาและเอกสารที่ต้องใช้สามารถตรวจสอบได้จากหน้าเกณฑ์คุณสมบัติของวีซ่าที่คุณจะสมัคร
รัฐบาลออสเตรเลียรับผลสอบภาษาอังกฤษจาก 5 แบบ เพื่อใช้ประกอบการขอวีซ่าและการย้ายถิ่นฐาน ได้แก่ IELTS, PTE, CAE, TOEFL iBT และอีกหนึ่งการทดสอบ หากยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกสอบแบบใด สามารถอ่านคู่มือได้ที่ A comprehensive guide to English language tests | SBS English
PTE คืออะไร
PTE (Pearson Test of English) เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษแบบแรกที่ดำเนินการบนคอมพิวเตอร์ทั้งหมด เหมาะสำหรับผู้ที่ถนัดใช้เทคโนโลยีและไม่สะดวกสอบพูดต่อหน้าผู้คุมสอบ เนื่องจากการให้คะแนนดำเนินการโดยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ใช้อัลกอริทึมซับซ้อนวิเคราะห์คำตอบจริงจากผู้สอบ
ข้อสอบ PTE มี tasks การสอบ เดิม52–64 ข้อ เพิ่มเป็น 65–75 ข้อ (ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค.) ต่อการสอบหนึ่งครั้ง ครอบคลุมคำถาม 20 ประเภทใน 4 ทักษะหลักคือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยบางงานเป็นการวัด ทักษะบูรณาการ เช่น อ่านแล้วพูด หรือฟังแล้วเขียน ทำให้ต้องใช้ทักษะหลายด้านพร้อมกัน
อ่านเพิ่มเติม

PTE อีกหนึ่งทางเลือกแบบทดสอบภาษาอังกฤษ
วิธีการให้คะแนน
บางคำถามให้คะแนนแบบ “ถูกหรือผิด” ขณะที่พาร์ทพูดหรือเขียนจะให้คะแนนจาก 3 เกณฑ์หลัก
- เนื้อหา (Content): ความครบถ้วนและถูกต้องของคำตอบ
- รูปแบบ (Form): รายละเอียดทางรูปแบบ เช่น จำนวนคำตามกำหนด
- ลักษณะการใช้ภาษา (Traits): การใช้คำศัพท์ การสะกด คำไวยากรณ์ และการจัดโครงสร้างคำตอบ
เนื่องจากข้อสอบทั้งหมดทำบนคอมพิวเตอร์ งานเขียนจึงต้องพิมพ์ได้รวดเร็วและแม่นยำ การฝึกพิมพ์และทำข้อสอบจำลองก่อนวันจริงเป็นสิ่งสำคัญ
จากคะแนน 50 สู่ 90 เต็มทุกพาร์ท
อโรชา (แพร) แจ่มประเสริฐ นักเรียนไทยในซิดนีย์ เป็นผู้ทำคะแนน PTE เต็ม 90 ทุกพาร์ท เล่าว่า
“ครั้งแรกที่สอบ PTE ตอนจบปริญญาโท หวังเพียง 50 คะแนน เพราะไม่ได้เตรียมตัวมาก หวังเพียงให้ผ่านเพื่อยื่นวีซ่าหลังเรียนจบ”
ต่อมาเมื่อเตรียมยื่นวีซ่า Permanent Residence ซึ่งต้องใช้คะแนน 79 ขึ้นทุกพาร์ทเพื่อเคลมแต้มภาษาได้ 20 แต้ม เธอจึงตั้งเป้าฝึกอย่างจริงจัง และสอบทั้งหมด 3 ครั้งกว่าจะได้คะแนนเต็ม
กลยุทธ์การเตรียมสอบเพื่อให้ได้คะแนนเต็ม
แม้จะทำงานเต็มเวลา แต่แพรเล่าว่าเธอแบ่งเวลาอ่านหนังสือทุกวันหลังเลิกงาน และใช้เวลาระหว่างเดินทางดูวิดีโอรีวิวข้อสอบบน YouTube ก่อนนำสิ่งที่เรียนรู้มาฝึกทำข้อสอบในแอปฝึก PTE

แพร อโรชา แจ่มประเสริฐ นักเรียนไทยในนครซิดนีย์และเจ้าของเพจ" แพรสอนภาษา" แบ่งปันเคล็ดลับการสอบอย่างไรให้ได้คะแนนสูง Credit: Supplied/ Arocha Jamprasert
แพรพบว่าพาร์ท Speaking ไม่ยากอย่างที่คิด และทำได้เต็ม 90 ทั้งสองครั้ง แต่ Writing เป็นความท้าทาย เพราะมักสะกดคำผิดและไม่เผื่อเวลาตรวจงาน
พิมพ์ผิดนิดเดียวคะแนนก็หายเลย พอรู้จุดอ่อนก็เผื่อเวลา 2–3 นาทีเช็กทุกคำ ทำให้รอบถัดมาได้เต็มอโรชา (แพร) แจ่มประเสริฐ กล่าว
ข้อสอบ PTE รูปแบบใหม่
คุณวิทวัส บุษราคัมวงค์ เอเจนท์นักเรียนและผู้ร่วมก่อตั้งเพจ PTE Winner ให้ข้อมูลสรุปการเปลี่ยนแปลงข้อสอบ PTE Academic ที่จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2025 ให้กับเอสบีเอสไทยดังนี้
การเปลี่ยนแปลงด้านข้อสอบ (Test Changes)
- เพิ่มข้อสอบ Speaking ใหม่ 2 ประเภท
- Summarize Group Discussion
- Respond to a Situation
โดยข้อสอบใหม่ทั้งสองประเภทจะมีอย่างละ 2–3 ข้อในแต่ละชุดสอบ
- จำนวนข้อสอบรวมเพิ่มขึ้น
จากเดิม 52–64 ข้อ เพิ่มเป็น 65–75 ข้อ โดยนอกจากข้อสอบใหม่แล้ว ข้อสอบประเภทเดิมบางส่วนก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น เช่น Describe Image จากเดิม 3–4 ข้อ เพิ่มเป็น 5–6 ข้อ
การเปลี่ยนแปลงด้านการให้คะแนน (Scoring Changes)
Smarter Scoring – ใช้ AI และผู้ตรวจที่เป็นมนุษย์ร่วมกัน
เดิมมีเพียง 2 ประเภทที่ตรวจแบบผสม (Describe Image และ Retell Lecture) แต่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2025 จะเพิ่มเป็น 7 ประเภท ได้แก่
- Summarize Group Discussion
- Respond to a Situation
- Summarize Written Text
- Write Essay
- Summarize Spoken Text
- Describe Image
- Retell Lecture
ทั้งนี้ การประเมินความคล่องแคล่ว (Oral Fluency) และการออกเสียง (Pronunciation) ยังคงใช้ AI ให้คะแนนเพียงอย่างเดียว ขณะที่ผู้ตรวจที่เป็นมนุษย์จะเน้นตรวจในส่วนเนื้อหาและองค์ประกอบที่ไม่เกี่ยวกับเทคนิคการพูด
ปรับเกณฑ์การให้คะแนน (Enhanced Scoring Criteria)
- Write Essay: ปรับเกณฑ์ “เนื้อหา (Content)” จากเดิม 0–3 คะแนน เป็น 0–6 คะแนน
- Read Aloud: เดิมให้คะแนนทั้ง Speaking และ Reading แต่จะปรับให้คิดคะแนนเฉพาะ Speaking เท่านั้น
ส่วน วิลสัน ลี ผู้ฝึกสอน PTE อธิบายการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมกับเอสบีเอสภาษากวางตุ้งว่า การเปลี่ยนแปลงล่าสุดที่เริ่มใช้ต้้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2025 มีหลายประเด็นสำคัญ ได้แก่
- การเพิ่มคำถาม Speaking ใหม่ 2 ประเภท
- Respond to a Situation: คุณจะได้สถานการณ์หนึ่งพร้อมเป้าหมาย มีเวลาเตรียม 10 วินาที และพูดตอบ 40 วินาที เช่น ป่วยและขอเลื่อนส่งงานจากอาจารย์ เน้นทดสอบการคิดฉับไว คำศัพท์ และการจัดโครงสร้างคำตอบ
- Summarize a Group Discussion: ฟังการสนทนาระหว่างสามคน ความยาวไม่เกิน 3 นาที เตรียม 10 วินาที และสรุปเนื้อหาให้ครบทุกมุมมองภายใน 2 นาที - ปรับจำนวนคำถามในบางพาร์ท เช่น Describe Image จาก 3–4 ข้อ เป็น 5–6 ข้อ
- ปรับชื่อประเภทคำถามเพื่อความชัดเจน เช่น “Fill in the Blanks – Reading” เปลี่ยนเป็น “Fill in the Blanks – Drop Down”
- ปรับเกณฑ์การให้คะแนน ข้อสอบบางประเภทจะนับคะแนนเพียงทักษะเดียว
- เพิ่มรายละเอียดการให้คะแนนด้านเนื้อหา เช่น ความหลากหลายทางภาษา โครงสร้าง และความเชื่อมโยง
เคล็ดลับจากผู้สอน PTE
วิลสัน ลี แนะนำว่า เลิกใช้เทมเพลตซ้ำ ๆ หรือคุณภาพต่ำ เพราะระบบใหม่จะให้ศูนย์คะแนนกับเนื้อหาที่ไม่มีสาระ เพิ่มรายละเอียดและมุมมองส่วนตัวในคำตอบ
Respond to a Situation: ฝึกตอบสถานการณ์จริงทุกวัน เริ่มคิดเป็นภาษาแม่แล้วแปลงเป็นภาษาอังกฤษ และขยายคำศัพท์ให้ครอบคลุม
Summarize a Group Discussion: ฝึกฟังและจดโน้ตจากคลิปสนทนากลุ่ม แล้วสรุปมุมมองของแต่ละคนอย่างกระชับ
ใช้ข้อสอบจำลองเวอร์ชันอัปเดตของ Pearson เพื่อคุ้นกับเวลาและลำดับข้อสอบ

ผลสอบ PTE ของอโรชา (แพร) แจ่มประเสริฐ นักเรียนไทยในซิดนีย์ Credit: Supplied/ Arocha Jamprasert
จะพิชิต PTE อย่างไรให้ได้คะแนนสูง
แพร อโรชา แนะนำว่าเคล็ดลับการสอบ PTE ให้ได้คะแนนสูงที่เธอเรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเองและอยากแบ่งปันคือ
เข้าใจเป้าหมายแต่ละพาร์ท รู้ว่าข้อสอบต้องการวัดอะไร และพาร์ทไหนมีน้ำหนักคะแนนสูง เช่น Speaking เน้นความคล่อง (fluency) และการออกเสียง (pronunciation)
ใช้แอปฝึกที่มี AI ให้ฟีดแบ็ก ทำให้รู้จุดอ่อนเร็ว และแก้ไขได้ทันที
ทำซ้ำหลายรอบจนมั่นใจ เพื่อดูว่าการปรับแต่ละครั้งส่งผลต่อคะแนนอย่างไร
ปรับกลยุทธ์เมื่อคะแนนไม่ขยับ เช่น เปลี่ยนวิธีอ่านออกเสียง แบ่งวรรคให้ถูกต้อง หรือเปลี่ยนแนวฝึก Reading/Listening
อย่าละเลยพาร์ทง่าย เช่น Listening ที่แม้จะง่ายแต่ช่วยเพิ่มคะแนนรวมได้ แพรทิ้งท้ายว่า
“ใครที่ยังติดอยู่ที่เดิม ลองเปลี่ยนวิธี อย่ายึดแค่เทคนิคเก่า ฝึกจริง และเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง”