ผู้บริโภคในออสเตรเลียจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้นจากป้องกันการโก่งราคาสินค้า อย่างไรก็ตาม ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ของออสเตรเลียจะมีระยะเวลาผ่อนผัน 6 เดือน ก่อนที่กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้
รัฐบาลกลางออสเตรเลียได้ออกกฎเพื่อจำกัดการตั้งราคาอาหารและของใช้จำเป็นที่ถือว่า “สูงเกินควร” ผ่านการแก้ไข ประมวลจรรยาบรรณด้านอาหารและของชำ (Food and Grocery Code of Conduct) ซึ่งถูกกำหนดให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายภาคบังคับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
มาตรการปราบปรามการโก่งราคา ซึ่งมีการส่งสัญญาณล่วงหน้าก่อนช่วงการเปิดรับฟังความคิดเห็นแบบเร่งด่วนเมื่อต้นปี จะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคม 2026
กฎหมายดังกล่าวจะห้ามผู้ค้าปลีกรายใหญ่ขนาดมากจากการตั้งราคาสินค้าที่สูงเกินควร เมื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการจัดหา บวกกับอัตรากำไรที่เหมาะสม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จิม ชาลเมอร์ส กล่าวกับสถานี Sky News เมื่อเช้าวันอาทิตย์ว่า
“เรื่องนี้เป็นการสร้างความเป็นธรรมให้กับครอบครัวชาวออสเตรเลียและรวมถึงผู้รับบำนาญเมื่อซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต”
เขากล่าวเพิ่มเติมว่า
เรากำลังทำตามสิ่งที่เราให้คำมั่นไว้ ในการจัดการกับการโก่งราคาอย่างจริงจังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จิม ชาลเมอร์ส กล่าว
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคของออสเตรเลีย (ACCC) ระบุว่า โครงสร้างตลาดกึ่งผูกขาดของ โคลส์ และ วูลเวิร์ธส์ ทำให้ทั้งสองบริษัทแทบไม่มีแรงจูงใจในการแข่งขันด้านราคาอย่างจริงจัง พร้อมชี้ว่าซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งสองแห่งเป็นหนึ่งในผู้ค้าปลีกอาหารที่ทำกำไรสูงที่สุดในโลก
อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าว ไม่ได้กล่าวหาซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่อย่างชัดเจน ว่าโก่งราคาผู้บริโภค ซึ่งทั้ง โคลส์ และ วูลเวิร์ธส์ ต่างออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าว
รายงานยังไม่ได้มีข้อสรุป หรือพยายามนิยามว่าราคาสินค้าในซูเปอร์มาร์เก็ตถือว่า “สูงเกินควร” หรือไม่ เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในปัจจุบัน ไม่ได้ห้ามการตั้งอัตรากำไรที่สูง
ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ศกหน้า เป็นต้นไป ซูเปอร์มาร์เก็ตอาจเผชิญโทษปรับสูงสุด 10 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียต่อการกระทำผิดหนึ่งครั้ง หรือเป็นจำนวนสามเท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำดังกล่าว หรือ ร้อยละ 10 ของมูลค่าการซื้อขายของบริษัทในช่วง 12 เดือนก่อนหน้า แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า
คณะกรรมการการแข่งขันและการคุ้มครองผู้บริโภคของออสเตรเลีย (ACCC) จะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมายภายใต้ระเบียบใหม่นี้
รมว. คลัง ชาลเมอร์ส กล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงกฎหมายครั้งนี้ จะมอบอำนาจที่จำเป็นให้กับหน่วยงานกำกับดูแลด้านการแข่งขัน เพื่อให้สามารถ ตรวจสอบและเอาผิดซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เขากล่าวในแถลงการณ์ร่วมว่า
“หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการบรรเทาภาระค่าครองชีพของชาวออสเตรเลีย คือการช่วยให้ผู้บริโภคได้รับราคาที่เป็นธรรมมากขึ้นเมื่อชำระเงิน และนั่นคือเป้าหมายของมาตรการนี้”
รายงานของหน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคระบุว่า ระหว่างช่วงปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023 ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตรา มากกว่าสองเท่าของอัตราการเติบโตของค่าจ้าง โดยชี้ว่าการปรับขึ้นราคาดังกล่าวอย่างน้อยส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจาก กำไรที่เพิ่มขึ้นของโคลส์ (Coles) วูลเวิร์ธส์ (Woolworths) และอัลดี (Aldi)
โฆษกของกลุ่มวูลเวิร์ธส์ กล่าวกับ เอสบีเอส นิวส์ ว่า บริษัทรับทราบการเสนอระเบียบใหม่นี้ แต่เห็นว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นมาตรการที่ “ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากมุ่งเป้าไปที่บริษัทที่มีเจ้าของเป็นชาวออสเตรเลียเพียงสองแห่ง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขัน”
ขณะเดียวกัน โฆษกของโคลส์ ระบุว่า การยกเว้นบริษัทข้ามชาติรายใหญ่และผู้เล่นรายสำคัญอื่น ๆ ออกจากกฎหมายฉบับนี้ “ไม่สะท้อนพฤติกรรมการจับจ่ายของผู้บริโภคชาวออสเตรเลีย และอาจบั่นทอนประสิทธิภาพการแข่งขันในตลาด”
รายงานของหน่วยงานกำกับดูแลยังระบุว่า แม้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจจะเพิ่มสูงขึ้น หรือแม้จะเผชิญกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงักจากการระบาดของโควิด-19 แต่ซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่ยังคงมีกำไรเพิ่มขึ้น
รายงานยังชี้ว่า การขยายตัวของ อัลดี มีบทบาทช่วยชะลออำนาจผูกขาดของซูเปอร์มาร์เก็ตรายใหญ่สองราย อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการระบุว่าเครือร้านค้าลดราคาจากเยอรมนีรายนี้ ไม่ได้มีการแข่งขันราคาโดยตรงในทุกหมวดสินค้า






