ระบบให้ดาวสุขภาพนี้ถูกออกแบบมาเพื่อทำให้ง่ายต่อการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการบอกว่าระบบนี้ยังไม่ดีพอ
จากความเห็นของนักวิจารณ์ ระบบติดดาวบนหน้าบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในออสเตรเลีย
ขาดความสม่ำเสมอระหว่างสินค้า, การใช้อัลกอริทึมที่ไม่คำนึงถึงอาหารแปรรูปขั้นสูง (ultra-processed foods) และ สารให้ความหวานเทียม
และเพราะการติดดาวไม่ใช่ข้อบังคับผู้ผลิตจึงมักเลือกติดดาวเฉพาะสินค้าที่ได้คะแนนสูง เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดมากกว่าให้ข้อมูลที่แท้จริงแก่ผู้บริโภค
หลังผ่านกระบวนการยาวนาน 5 ปี นับตั้งแต่การทบทวนระบบในปี 2019 วันศุกร์นี้ถือเป็นเส้นตายสุดท้ายสำหรับผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ที่ต้องสมัครใจติดดาวสุขภาพให้กับ 70% ของสินค้าที่เข้าข่าย
รัฐบาลเคยประกาศว่าจะพิจารณาบังคับใช้ระบบนี้ หากผู้ผลิตไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้ ซึ่งดูมีแนวโน้มสูง เนื่องจากอัตราการติดดาวมีอัตราเพิ่มขึ้นช้ามากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ข้อมูลของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วระบุว่า เพียง 35% ของสินค้าที่ควรติดดาวในออสเตรเลียมีการแสดงดาวบนบรรจุภัณฑ์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 32% ในปีก่อนหน้า
จูเลียน เรต รองประธานสมาคมการแพทย์ออสเตรเลีย (Australian Medical Association) บอกกับ เอสบีเอส นิวส์ว่า การทำให้ระบบให้ดาวสุขภาพเป็นข้อบังคับคือ
“วิธีเดียวที่จะทำให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์จริง ไม่ใช่แค่เพียงอุตสาหกรรมเท่านั้น”
เขากล่าวว่า “ดูเหมือนว่าผู้ผลิตอาหารเลือกใช้ระบบให้ดาวสุขภาพกับสินค้าเฉพาะบางอย่างเท่านั้น พวกเขามักใช้กับสินค้าที่ดีกับสุขภาพมากกว่า แล้วใช้ดาวเป็นเครื่องมือทางการตลาด แต่หลีกเลี่ยงการติดดาวบนสินค้าที่ไม่ดีต่อสุขภาพ”
ระบบให้ดาวสุขภาพหมายความว่าอย่างไร?
โครงการของรัฐบาลนี้ถูกนำมาใช้ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ตั้งแต่ปี 2014 โดยจัดทำร่วมกับตัวแทนอุตสาหกรรมและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข
ระบบนี้ให้คะแนนคุณค่าทางโภชนาการของอาหารและเครื่องดื่มบรรจุภัณฑ์ ตั้งแต่ 0.5 ดาว ถึง 5 ดาว

ฉลากที่ให้คะแนนอาหารเชิงบวกหรือระบบให้ดาว Source: SBS
ผู้ผลิตอาหารใช้ระบบคำนวณออนไลน์ โดยใส่ค่าของสารอาหารหลัก 4 ชนิดที่ถือเป็น “ปัจจัยลบ” ซึ่งทำให้คะแนนลดลง ได้แก่ พลังงาน (กิโลจูล), ไขมันอิ่มตัว, น้ำตาล และ โซเดียม
จากนั้นสามารถใส่ข้อมูลของ “ปัจจัยบวก” 4 ชนิดที่ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้น ได้แก่:
- ไฟเบอร์
- โปรตีน
- ปริมาณผลไม้ ผัก ถั่ว และพืชตระกูลถั่ว (FVNL)
- ส่วนผสมผลไม้หรือผักเข้มข้น เช่น ซอสมะเขือเทศเข้มข้น
ระบบนี้ถูกออกแบบให้ใช้ เปรียบเทียบสินค้าที่อยู่ในหมวดเดียวกัน เช่น ชีสกับชีส ไม่ใช่ชีสกับมูสลีบาร์
ซาราห์ ดิกกี นักวิจัยจาก Department of Nutrition, Dietetics and Food ของมหาวิทยาลัยโมนาช บอกกับ เอสบีเอส นิวส์ ว่า การอนุญาตให้ส่วนผสมเชิงบวกมาหักล้างส่วนผสมเชิงลบ ไม่ใช่ระบบที่เหมาะนัก
“แนวคิดที่ว่าถ้าเติมส่วนผสมที่ดีพอ ก็จะหักล้างสิ่งที่แย่ได้ แต่มันไม่จริงสุดท้ายมันก็ยังเป็นอาหารขยะอยู่ดี”
สินค้าที่ได้คะแนนต่ำมักไม่แสดงดาว
งานวิจัยจากสถาบัน George Institute for Global Health ที่ศึกษาผลิตภัณฑ์มากกว่า 21,000 รายการเมื่อปีที่แล้วพบว่า 61% ของสินค้าที่ได้ 5 ดาว มีการแสดงคะแนนดาวบนฉลาก
แต่มีเพียง 16% ของสินค้าที่จะได้ 0.5 ดาว เท่านั้นที่ติดฉลากให้คะแนน และมีเพียง 24% ของสินค้าที่ได้ 3 ดาวหรือต่ำกว่า แสดงระดับดาวบนบรรจุภัณฑ์
Picture
อเล็กซานดรา โจนส์ หัวหน้าฝ่ายกำกับดูแลอาหารของสถาบันฯ กล่าวเมื่อเดือนสิงหาคมว่า การขาดความสม่ำเสมอของการติดดาวทำให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบสินค้าได้ยาก
เธอเรียกร้องให้มี “ไทม์ไลน์ที่ชัดเจนและรวดเร็ว” ในการทำให้ระบบติดดาวเป็นข้อบังคับ พร้อมทั้งให้มีการทบทวนอัลกอริทึมของระบบอย่างสม่ำเสมอโดยหน่วยงานอิสระ
การแปรรูปไม่ได้ถูกนำมาคำนวณ
อาหารแปรรูปขั้นสูง (Ultra-processed foods UPFs) คืออาหารที่แทบไม่มีวัตถุดิบจากธรรมชาติ ใช้เทคนิคการผลิตระดับอุตสาหกรรม มีการดัดแปลงส่วนผสมและใส่สารเติมแต่งหลายชนิด
ตัวอย่างเช่น มันฝรั่งทอด เครื่องดื่มอัดลมและเครื่องดื่มปรุงรสหวานเทียม ลูกอม ซีเรียลบางชนิด และเอเนอร์จี้บาร์
กระบวนการแปรรูปอาหารเหล่านี้ ไม่ถูกนำมาคิดในอัลกอริทึมของระบบให้ดาวสุขภาพ ทั้งที่มีหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ว่าอาหารประเภท UPFs เชื่อมโยงกับผลเสียต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจและเบาหวาน
ดิกกี ซึ่งทำงานวิจัยเกี่ยวกับระบบนี้โดยตรงกล่าวว่า
“เรากำลังเห็นอาหารแปรรูปขั้นสูงจำนวนมากที่ตรวจผ่านอัลกอริทึมแล้วออกมาว่า ‘สุขภาพดีมาก’ ทั้งที่มันไม่ใช่
สารให้ความหวานเทียมก็ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในระบบเช่นกัน ทำให้เครื่องดื่มอัดลมสูตรน้ำตาล 0% หรือเครื่องดื่มเข้มข้นแบบไม่มีน้ำตาลบางชนิดสามารถได้คะแนนสูงถึง 3.5 ดาว
แม้ว่าระบบจะมีการปรับปรุงบางส่วนหลังการทบทวนครั้งก่อน แต่ดิกกีบอกว่ายังมี “ข้อบกพร่องพื้นฐาน” อยู่ในอัลกอริทึมของระบบ
เธอกล่าวว่า “คุณเดินในซูเปอร์มาร์เก็ตแล้วจะเจอสินค้าที่แปรรูปหนักมาก อย่าง Up & Go หรือแม้แต่เครื่องดื่มอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานเทียมได้ 3.5 ดาว”
“มันไม่สมเหตุสมผลใช่ไหมคะ?” เธอกล่าวเสริม “เช่นพวกเครื่องดื่มอัดลมสูตรหวานเทียมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการเลย”
เธอกล่าวอีกว่า สารให้ความหวานเทียมมีความเชื่อมโยงกับปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ และอาจทำให้เกิดความเคยชินกับรสหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
“ถ้าคุณเริ่มบริโภคของพวกนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย คุณจะพัฒนาความเคยชินกับรสหวาน ซึ่งไม่ดีต่อพฤติกรรมการกินเลย”
ผลิตภัณฑ์อาหารเช้าแบบน้ำ Up & Go ซึ่งมีไฟเบอร์และโปรตีน ได้คะแนนระหว่าง 4.5 ถึง 5 ดาว ขณะที่มันฝรั่งทอดแบบซองหลายยี่ห้อมีคะแนนสูงสุดถึง 3.5 ดาว
บาร์ขนมไมโลมีคะแนน 4 ดาว ส่วนขนมแบบแท่งอื่น ๆ เช่น LCMs รสช็อกชิป แสดงคะแนน 1 ดาว
ผลสำรวจชี้ผู้บริโภคต้องการความโปร่งใสมากขึ้น
ผลสำรวจของ VicHealth ปี 2024 จากชาวออสเตรเลีย 1,100 คนพบว่า ข้อมูลโภชนาการเป็นปัจจัยสำคัญอันดับสองที่มีอิทธิพลต่อการเลือกซื้ออาหาร รองจากราคา แต่ผู้ตอบจำนวนมากบอกว่า ไม่เชื่อว่าฉลากอาหารโปร่งใสจริง
ในทำนองเดียวกัน ผลสำรวจของ Cancer Council ปี 2023 พบว่า 82% ของผู้ใหญ่ในออสเตรเลียเชื่อว่าควรมีการติดดาวสุขภาพบนอาหารบรรจุแพ็คทุกชนิด
ประมาณสองในสามบอกว่าการทำให้ระบบนี้เป็นข้อบังคับจะทำให้มีประโยชน์มากขึ้น และ 65% บอกว่าจะช่วยทำให้การตัดสินใจซื้ออาหารง่ายขึ้น
ควรทำให้ระบบที่ยังมีข้อบกพร่องเป็นข้อบังคับหรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญเห็นตรงกันว่าการทำให้ระบบนี้เป็นข้อบังคับเป็นเรื่องสำคัญ แต่มีความเห็นต่างกันว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร
มากรีท แร็กซ์เวอร์ธี ซีอีโอของ Dieticians Australia กล่าวว่าหน่วยงานของเธอสนับสนุนให้ทำให้ระบบปัจจุบันเป็นข้อบังคับ แต่ก็กล่าวว่า “ยังมีโอกาสที่จะปรับปรุงได้อีก” ในอนาคต
“ฉันเชื่อว่ามันจะพาเราไปในทิศทางที่ถูกต้อง และช่วยให้ประชาชนชาวออสเตรเลียสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้นแน่นอน” เธอกล่าวกับเอสบีเอส นิวส์
เธอระบุว่า สินค้าที่เป็นกรณีผิดปกติและได้คะแนนไม่เหมาะสมเป็นเพียงส่วนน้อย แต่สินค้าส่วนใหญ่ “ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง” อย่างไรก็ตาม เธอเรียกร้องให้มีการสื่อสารที่ชัดเจนขึ้นต่อสาธารณชนเกี่ยวกับวิธีอ่านคะแนนดาวอย่างเหมาะสม
เธอกล่าวว่า “เรารู้ว่าผู้บริโภคกำลังนำคะแนนดาวสุขภาพไปเปรียบเทียบสินค้าที่อยู่นอกกลุ่มประเภทเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าคุณไม่ได้ใช้ระบบนี้อย่างถูกต้อง”
ด้านดิกกี ซึ่งเป็นกรรมการบริหารของกลุ่มรณรงค์ Healthy Food Systems Australia กล่าวว่า เธอไม่เชื่อว่าระบบปัจจุบันเหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ กลุ่มดังกล่าวไม่ต้องการให้ระบบนี้ถูกบังคับใช้ในรูปแบบปัจจุบัน
“สิ่งที่เราต้องการคือปรับให้เป็นระบบเตือนความเสี่ยงแทน” เธอกล่าว
รัฐมนตรีด้านอาหารเตรียมประชุมกันช่วงต้นปีหน้า
โฆษกกระทรวงสาธารณสุขบอกกับ เอสบีเอส นิวส์ ว่ารัฐมนตรีด้านอาหารจะประชุมกันช่วงต้นปีหน้า เพื่อทบทวนรายงานการนำระบบไปใช้ และรับการอัปเดตจากหน่วยงาน Food Standards Australia New Zealand (FSANZ)
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำหนดมาตรฐานและนโยบายอาหารของทั้งออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เกี่ยวกับการเตรียมงานงานหากมีการบังคับใช้ระบบให้ดาวสุขภาพ
โฆษกระบุว่า “จากข้อมูลอัปเดตดังกล่าว รัฐมนตรีด้านอาหารจะพิจารณาเพิ่มเติมว่าจะบังคับใช้ระบบให้ดาวสุขภาพหรือไม่”
หากรัฐมนตรีตัดสินใจเดินหน้า อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าผู้บริโภคจะเห็นผลลัพธ์บนชั้นวางสินค้า
โฆษกยังกล่าวด้วยว่า ระบบปัจจุบันถูกออกแบบให้สอดคล้องกับ Australian Dietary Guidelines ซึ่งไม่ได้อ้างอิงระดับการแปรรูปอาหาร
แนวทางดังกล่าวกำลังอยู่ระหว่างการทบทวน และเมื่อมีฉบับใหม่ออกมา “จะมีการพิจารณาว่าระบบให้ดาวสุขภาพยังคงสอดคล้องกับแนวทางใหม่หรือไม่”
โฆษกกล่าวว่า “ระบบให้ดาวสุขภาพไม่ได้มาแทนความรู้ด้านโภชนาการ และต่างจากแนวทางโภชนาการที่ไม่ได้บอกว่าควรกินอาหารประเภทไหนหรือปริมาณเท่าไร การที่สินค้าหนึ่งได้ 5 ดาว ไม่ได้หมายความว่าควรกินทุกวันหรือในปริมาณมาก”
“ระบบดาวสุขภาพช่วยให้ผู้บริโภคเปรียบเทียบสินค้าที่คล้ายกันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย คุณไม่สามารถใช้ระบบนี้ตัดสินใจเลือกระหว่างเบคอนกับซีเรียลอาหารเช้าได้ แต่ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะซื้อซีเรียลอยู่แล้ว ระบบนี้จะช่วยให้เลือกตัวเลือกที่สุขภาพดีกว่าได้”.
สภาอาหารและของชำออสเตรเลีย (Australian Food and Grocery Council) ซึ่งเป็นสมาคมหลักของอุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค บอกกับ เอสบีเอส นิวส์ ว่า
“ทางสมาคมสนับสนุนระบบให้ดาวสุขภาพในฐานะเครื่องมือช่วยให้ชาวออสเตรเลียมีข้อมูลในการตัดสินใจเลือกอาหาร”
โฆษกกล่าวว่า “สำหรับหลายบริษัท โดยเฉพาะผู้ผลิตรายย่อย การออกแบบหรือปรับเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ต้องใช้เวลา ค่าใช้จ่าย และขั้นตอนด้านโลจิสติกส์จำนวนมาก”
“หากจะเปลี่ยนระบบให้ดาวสุขภาพให้เป็นข้อบังคับ จำเป็นต้องมีกรอบเวลาและการสนับสนุนที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถวางแผนระยะยาวได้ และหลีกเลี่ยงความสูญเสียหรือการหยุดชะงักในการผลิตโดยไม่จำเป็น”
มีทางเลือกอื่นอีกไหม?
ดิกกีชี้ว่า ระบบปัจจุบันมีลักษณะ “เอนเอียงไปทางบวก” โดยการออกแบบ ซึ่งหมายความว่า ทุกสินค้าที่มคะแนนเชิงบวก จะมีคะแนนดาวตั้งแต่ 0.5 ดาวขึ้นไป แม้แต่สินค้าที่คุณภาพโภชนาการแย่ที่สุดก็ตาม
งานวิจัยเกี่ยวกับฉลากโภชนาการด้านหน้าแพ็กระบุว่า ระบบเตือนความเสี่ยง หรือระบบที่เอนเอียงไปทางลบมีประสิทธิภาพมากกว่า
เธอกล่าวว่า “ควรมีระบบที่ติดป้ายเตือนบนอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และชี้ให้เห็นว่าสินค้าแบบไหนที่เราไม่ควรกิน จะได้ผลมากกว่าระบบจัดอันดับแบบนี้ที่มีแต่คะแนนเชิงบวก”







