พายุโซนร้อนทำให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย ไทย และมาเลเซีย ขณะที่พายุไซโคลนดิทวา (Ditwah) สร้างความเสียหายเพิ่มในศรีลังกา
มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 600 คนจากน้ำท่วมและดินถล่มทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ความพยายามในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยหลายหมื่นคนยังคงดำเนินต่อไปในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยเฉพาะ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทยที่เผชิญความเสียหายเป็นวงกว้าง หลังจากเกิดพายุโซนร้อนที่มีความรุนแรงในระดับที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่องแคบมะละกา ซึ่งทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงต่อเนื่องนานหนึ่งสัปดาห์
ในขณะนี้ มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 435 คนในอินโดนีเซีย 170 คนในประเทศไทย และ 3 คนในมาเลเซีย
ในอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ศรีลังกา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 334 คนจากน้ำท่วมและดินถล่มที่เกิดจากพายุไซโคลนดิทวา และยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนมาก
เจ้าหน้าที่กู้ภัยและเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงพยายามเข้าถึงหลายพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และแม้ว่าน้ำจะเริ่มลดลงแล้ว แต่ยังมีการอพยพประชาชนหลายหมื่นคนในทั้งสามประเทศ
จากสถิติของทางการรายงานว่ามีประชาชนได้รับผลกระทบมากกว่า 4 ล้านคน โดยเกือบ 3 ล้านคนอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย และอีก 1.1 ล้านคนในอินโดนีเซียตะวันตก

ภาพถ่ายทางอากาศจากกองทัพบกไทยเผยให้เห็นพื้นที่น้ำท่วมในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2025 ฝนตกหนักส่งผลให้เกิดน้ำท่วมวงกว้างใน 9 จังหวัดภาคใต้ กระทบประชาชนกว่า 2.7 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 18 ราย ตามข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)ภาพโดยกองทัพบกไทย Credit: ROYAL THAI ARMY HANDOUT/EPA
หลายพื้นที่ถูกตัดขาดเนื่องจากถนนถูกปิดกั้น ขณะที่ความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมก็ยิ่งทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างยากลำบาก
ทีมกู้ภัยและบรรเทาทุกข์ต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ในการลำเลียงความช่วยเหลือไปยังพื้นที่ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ทางถนน
ช่างภาพของสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า จากเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือที่บินอยู่เหนือเมืองปาเล็มบายัน ในจังหวัดสุมาตราตะวันตก เห็นพื้นที่ขนาดใหญ่และบ้านเรือนจำนวนมากถูกกระแสน้ำพัดหายไป
และเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอดที่สนามฟุตบอล มีประชาชนหลายสิบคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว เพื่อรอรับอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์
ทางการระบุเมื่อวันเสาร์ว่า ในบางพื้นที่เริ่มมีรายงานการปล้นสะดมเส้นทางลำเลียงสิ่งของช่วยเหลือ เนื่องจากประชาชนสิ้นหวังและรอความช่วยเหลือมานาน
สถานการณ์ทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตมากที่สุดที่ 131 ราย
โดยหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของสงขลา มีฝนที่ตกหนักต่อเนื่องหลายวัน และมีปริมาณฝนตกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาถึง 335 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดในหนึ่งวันในรอบ 300 ปี
ไทยเดินหน้าฟื้นฟูพื้นที่น้ำท่วม
ระดับน้ำในจังหวัดสงขลาเพิ่มสูงถึง 3 เมตร และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 162 ราย นับเป็นหนึ่งในเหตุอุทกภัยที่รุนแรงที่สุดในรอบทศวรรษ
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรง ต้องเคลื่อนย้ายศพไปเก็บไว้ในตู้แช่รถบรรทุก มีศพมากเกินความจุของห้องเก็บศพ
นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล กล่าวขอโทษต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากอุทกภัยครั้งนี้
“เมื่อใดที่มีความสูญเสีย การเสียชีวิต หรือผู้บาดเจ็บ ก็เป็นความผิดของนายกรัฐมนตรีเสมอ” เขากล่าวเมื่อวันเสาร์ พร้อมระบุว่า จะทุ่มความรู้และความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ โดยตั้งกรอบเวลา 2 สัปดาห์สำหรับการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่ประสบภัย”
รัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงเงินชดเชยสูงสุด 2 ล้านบาท (ราว 95,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย) สำหรับครอบครัวที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้
อย่างไรก็ตาม กระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่อการรับมือเหตุอุทกภัยของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น 2 รายถูกสั่งพักงานจากข้อกล่าวหาเรื่องการบริหารจัดการที่ล้มเหลว
ส.ส.จากพรรคประชาชน ซึ่งเป็นฝ่ายค้าน กล่าวหารัฐบาลว่า “ประเมินสถานการณ์ผิดพลาด” และทำ “ความผิดพลาดในการจัดการภัยพิบัติครั้งนี้”
ขณะที่มาเลเซียซึ่งอยู่ใกล้เคียง มีผู้อพยพยังคงพักอยู่ในศูนย์อพยพประมาณ 18,700 คน ตามข้อมูลของสำนักงานจัดการภัยพิบัติแห่งชาติของมาเลเซีย
โดยทางการอุตุนิยมวิทยายกเลิกคำเตือนพายุโซนร้อนและฝนตกต่อเนื่องเมื่อวันเสาร์ พร้อมคาดการณ์ว่าหลายพื้นที่ทั่วประเทศจะกลับมามีท้องฟ้าโปร่ง
หลายส่วนของประเทศถูกพายุฝนและกระแสลมแรงถล่มเมื่อสัปดาห์ก่อน กระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียระบุว่า ได้อพยพชาวมาเลเซียมากกว่า 6,200 คนที่ติดค้างอยู่ในประเทศไทยออกมาแล้ว
ฤดูมรสุมประจำปีซึ่งมักเกิดขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายนถึงกันยายน มักนำมาซึ่งฝนตกหนัก ดินถล่ม และน้ำป่าไหลหลากเป็นประจำ
ปีนี้พายุโซนร้อนยิ่งทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น โดยจำนวนผู้เสียชีวิตในอินโดนีเซียและไทยอยู่ในระดับสูงที่สุดครั้งหนึ่งในรอบหลายปีของทั้งสองประเทศ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อรูปแบบของพายุ ทั้งระยะเวลาของฤดูกาลและความรุนแรง ทำให้ปริมาณน้ำฝนหนักขึ้น เกิดน้ำท่วมฉับพลัน และลมกระโชกแรงมากขึ้น





